วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554


เรื่องเล่าร้านหนังสือ

แต่งโดย สุพัตรา


ตอนที่่ฉันเขียนบอกพี่ปู ใน facebook ว่า "แล้วหนูจะเขียน review หนังสือ "เรื่องเล่าร้านหนังสือ" ของพี่ปูให้นะคะ ความจริงแล้วอย่าเรียกว่ารีวิวดีกว่าค่ะ เพราะด้วยประสบการณ์อันน้อยนิดของฉันคงจะทำได้เพียงแค่แบ่งปันความน่าอ่านและสิ่งที่ฉันได้ค้นพบจากหนังสือเล่มนี้ในช่วงเวลาสองคืนก่อนนอนที่ฉันและหนังสือเล่มนี้นั่งสนทนากันตามลำพัง ^_^

หากใครที่เป็นหายใจเข้าออกเป็น "หนังสือและตัวอักษร" หรือบางทีอาจจะมีร้านหนังสือเป็นเสมือนบ้านหลังที่สาม คำโปรยหน้าปกที่ว่า "ไม่มีชั่วขณะใดวิเศษไปกว่าการเดินอยู่ท่ามกลางหนังสือในร้านหนังสือแห่งนั้นแล้ว" คงจะทำให้อยากเปิดหนังสือเล่มนี้อ่านทันที ประโยคนี้ทำให้ฉันนึกถึงประโยคสวยๆในนวนิยายรักแสนหวาน ที่นางเอกอาจจะเอ่ยถึงความทรงจำแห่งรัก ใกล้เคียงกันแต่ต่างกันที่ พระเอกที่เป็นความทรงจำแห่งรักของผู้เขียนคือ "ร้านหนังสือ"

อะไรกันเล่าคือสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงตัวเล็กๆเพียงคนหนึ่งมีความฝันในการทำงานในร้านหนังสือได้ขนาดนี้ ฉันเห็นภาพเด็กหญิงปูตัวเล็กๆที่ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับแผงหนังสือของพ่อ และแอบสร้างโลกเล็กๆแห่งจินตนาการที่ชั้นหนังสือข้างเตียง เธอได้เติบโตมากับหนังสือดีๆ หนังสือที่บอกเล่าและดึงตัวเธอให้ร่วมเข้าสู่วิถีทางของมันโดยไม่รู้ตัว หนังสือเรื่อง "ร้านหนังสือที่รัก" คือตัวการใหญ่ที่คอยกระซิบพาเธอชมร้านหนังสือที่แสนจะมีเสน่ห์ และเรื่องราวแห่งมิตรภาพที่ก่อตัวขึ้นท่ามกลางร้านหนังสือก็สร้างความตรึงใจให้กับเด็กหญิงที่เติบโตเป็นหญิงสาวที่อยากจะได้สัมผัสและมีประสบการณ์กับ "ร้านหนังสือ"จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ภาพฝันในจินตนาการ

ท่ามกลางเสียงคัดค้านว่า การเป็นผู้จัดการร้านหนังสือสำหรับตัวเธอนั้นช่างไม่สมกับความรู้ความสามารถ เธอเหมาะจะเป็นบรรณาธิการนิตยสารเสียมากกว่า เงินเดือนของผู้จัดการร้านหนังสือนั้นเล่าก็ช่างน้อยนิดเมื่อเทียบความเหนื่อยและความครียดกับความรับผิดชอบสูง ไหนจะทั้งหนังสือและพนักงาน แต่พี่สาวคนนี้เธอเลือก งานที่สร้างความสุข มากกว่าที่จะคิดในเรื่องของค่าตอบแทน ลองคนเราได้รักในสิ่งใดแล้ว เราก็ไม่คิดเรื่องกำไรขาดทุนหรอกค่ะ จริงไหม ในเมื่อประสบการณ์ไม่มีโรงเรียนไหนสอนและที่สำคัญเงินก็ซื้อไม่ได้ด้วยซิ มีเพียงแค่แรงใจกับแรงกายเท่านั้นที่จะทำให้เราได้มันมาครอบครอง

เมื่อโอกาสแห่งการได้เป็นผู้จัดการร้านหนังสือมาถึง แน่นอนว่าพี่สาวคนเก่งของฉันย่อมไม่พลาดโอกาสนี้แน่นอน เพราะเราไม่อาจทราบได้ว่าโอกาสนั้นจะมาเคาะประตูที่หน้าบ้านเราอีกเมื่อไหร่

ตอนที่อ่านหนังสือเล่มนี้ในช่วงแรกๆฉันก็ไม่คิดหรอกนะคะว่า ฉันจะกระโดดเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นปูน้อยตัวจิ๋วที่แอบเดินตามพี่ปูไปตามบทต่างๆในหนังสือ เพราะถึงแม้ฉันจะทำงานในแวดวงการขีดๆเขียนๆ ฉันก็เป็นแค่นักเขียนตัวเล็กๆ และก็ยังไม่เคยได้มีโอกาสไปนั่งเสวนาหนังสือและจิบกาแฟในร้านกาแฟกับนักเขียนอาวุโสที่มีความคิดแหลมคมอย่างที่พี่ปูเล่า ฉันยังเป็นเพียงแค่คนที่เดินเข้ามาในร้านหนังสือ กวาดตามองหาหนังสือที่ต้องใจ นานๆครั้งก็แอบอยู่ในมุมเพื่อเป็นนักสืบคอยสังเกตการณ์ว่าจะมีใครบ้างไหมนะที่จะเลือกซื้อหนังสือของฉัน 55

บางครั้งก็เกิดอาการน้อยอกน้อยใจร้านหนังสือที่ไม่ช่วยเอาหนังสือของฉันตั้งขายในตำแหน่งที่คนซื้อสังเกตเห็นได้ง่ายๆ และความน้อยใจและกังวลใจเรื่องยอดขายหนังสือก็ทวีมากขึ้น เมื่อฉันเกิดอุตริคิดจะพิมพ์หนังสือขายเอง ท่ามกลางเสียงคัดค้านของพี่ๆที่รักทุกคนที่กล่าวตักเตือนด้วยความหวังดี ว่าหนังสือกล้อง Toy Camera ของฉันคงจะไม่วายเป็นดังปลาตัวเล็กๆที่ว่ายทวนกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากแข่งกับหนังสือในกระแสที่มีเงินทุนหนาๆที่เหมือนกับเรือดำน้ำติดเทอร์โบ Y_Y ฉันช่างกล้าที่จะเจ็บตัวยิ่งนัก 55

ตอนที่ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ ฉันเห็นเงาของตัวเองที่ทับซ้อนกับพี่ปูอยู่ เหตุผลที่ทำไม่ได้มีอะไรนอกจากมาใจล้วนๆ ใจรักของคนที่จะทำหนังสือดีๆสักเล่มที่แม้จะไม่เห็นของเค้ากำไรงามที่ผลิดอกออกผลให้ชื่นใจรออยู่เบื้องหน้า แน่นอนว่าฉันไม่ต่างอะไรกับพี่ปูที่เดินไปติดกับกักดักความฝันอันงดงามนั้นอย่างเต็มใจ

"ความฝันอันงดงามมักหลอกล่อให้เราติดกับ แต่ความจริงต่างหากที่จะสอนให้เรารู้และเข้าใจ" วันนี้ฉันเข้าใจประโยคนี้โดยท่องแท้ และไม่เคยนึกเสียใจที่จ่ายค่าประสบการณ์ด้วยเงินลงทุนที่แสนแพง เช่นเดียวกับที่พี่ปูได้มอบวิญญานให้กับร้านหนังสือในช่วงเวลาหนึ่ง

ตอนที่เราเดินก้าวไปที่ร้านหนังสือด้วยความตื่นใจ ที่เห็นหนังสือน่าอ่านมากมายเรียงรายเชื้อเชิญให้เราหยิบอ่าน ความสุขในการเลือกซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือเองต่างจากการซื้อออนไลน์คือการที่นิ้วมือของเราได้สัมผัสกับหนังสือที่จะเพื่อนคนใหม่ซึ่งหากได้ทักทายกันเป็นที่ถูกใจ เราก็อาจได้พาเพื่อนใหม่เหล่านั้นกลับบ้าน
เราไม่ได้สนใจหรอกว่าก่อนที่ร้านเปิด หรือ หลังร้านปิด มดงานในร้านหนังสือจะยุ่งขิงขนาดไหน เราจะเรียกหาเขาก็ต่อเมื่อเราหาหนังสือเล่มที่เราต้องการไม่เจอ หรือ หนังสือของเราที่เขียนหรือลงทุนพิมพ์ถูกจัดวางในตำแหน่งที่ผู้ซื้อมองให้เห็นอย่างที่กล่าวมา และอดจะกล่าวหาร้านหนังสือไม่ได้ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้หนังสือของเราขายไม่ดี

หากฉันไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ฉันก็คงไม่รู้หรอกนะว่า คนที่ทำงานในร้านหนังสือต้องทำงานหนักเพียงใด ต้องจัดการกับหนังสือปกใหม่ที่ถูกส่งมาวางที่หน้าร้านไม่ต่ำกว่าวันละ 40 เล่ม พระเจ้าช่วย! หนังสือเก่าตั้งมากมาย หนังสือใหม่ก็เข้ามาทุกวัน จะทำยังไงให้เจ้าของหนังสือทุกเล่มในร้านฯได้รับการจัดวางให้เป็นที่พอใจอย่างยุติธรรมเท่าเทียมกัน ฉันอยากจะเดินเข้าไปหนังสือเล่มนี้และถามพี่ปูในช่วงเวลาที่เป็นผู้จัดการร้านหนังสือจังเลยว่า "พี่จัดการกับกองทัพหนังสือเหล่านี้ได้อย่างไรกันเนี่ยะ!"

นี่คือส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ที่ฉันก้าวเข้าไปมีส่วนร่วมโดยไม่รู้ตัว นอกเหนือจากนั้นก็คือประสบการณ์บางส่วนจากร้านหนังสือที่พี่ปูถ่ายทอด เช่นเรื่อง มิตรภาพที่งอกเงยระหว่างการทำร้านหนังสือ ความเห็นอกเห็นใจ ที่สร้างโอกาสให้คนตัวเล็กได้มีอาชีพเป็นนักเขียนชื่อดัง เป็นเจ้าสำนักพิมพ์ที่มีชื่อในเวลาต่อมา การเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับทำหนังสือ ได้สร้างเพื่อนใหม่ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในเวลาต่อมา

ฉันได้รู้จักกับพี่ปูและมีโอกาสได้ปรึกษาพี่ปูเรื่องการทำหนังสือก็เมื่อไม่นานมานี้นี่เอง แต่ฉันก็ยังประกายเห็นความสุขในแววตาของพี่ปูยามที่ได้คำแนะนำที่ดีๆกับฉันหลายอย่าง แม้แต่คำตบท้ายที่บอกกับฉันว่า "นี่เพราะรักกันจริงๆหรอกนะ ถึงได้เตือนว่าอย่าได้ริอ่านทำหนังสือ" ^_^ ฉันรู้ว่าพี่ปูพูดไปยังงั้นเองแหละ คนรักการทำหนังสือเหมือนกันแค่มองตาก็เข้าใจ

หนังสือเล่มนี้นอกจากจะให้เกร็ดความรู้เกี่ยวกับร้านหนังสือแล้ว คนที่ไม่ได้อินกับร้านหนังสือเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็คงจะเกิดแรงฮึดที่จะทำสิ่งที่ฝันให้เป็นจริงอย่างแน่นอน และคงจะเริ่มเดินเข้าร้านหนังสือด้วยมุมมองใหม่และความเข้าใจที่มีต่อร้านหนังสือมากขึ้น ฉันขอเป็นตัวแทนของคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้ และกำลังจะซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านขอบคุณพี่ปูที่เขียนถ่ายทอดเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นในร้านหนังสือในเราฟัง และขอบคุณที่พี่สาวคนนี้ที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงอึดที่ไล่ตามความฝันให้เราไม่ย่อท้อที่จะทำให้ "ครั้งหนึ่งในชีวิตของเรามีความทรงจำดีๆที่ได้พยายามทำตามความฝันนะคะ"


วิชญา บุณยเกตุ (แตม)

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554





สวัสดีค่ะทุกคน แตมหายไปนานทีเดียวกับการ update เรื่องการทำอาหาร เพราะวุ่นวายกับสารพัดงานร้อยล้านอย่างที่เพื่อนๆที่รักคงทราบกันดี ^_^ ช่วงนี้แตมมีโอกาสได้เข้าครัวบ่อยๆ เพราะว่าแตมกำลังปรับเมนูอาหารที่ร้านค่ะ เพิ่งจะทำเมนูใหม่เสร็จสดๆร้อนๆ และช่วงนี้ก็มีโอกาสได้ทำ workshop สอนทำอาหารอยู่บ่อยครั้งจึงอยากจะแชร์สูตรอาหารที่ทำรับประทานได้ง่ายๆ ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาทีมาให้เพื่อนๆได้ลองทำกัน










สูตรที่ว่านี้คือ Ham and Cheese Roll up served with Couscous and Pea ค่ะ เป็นสูตรของคุณ Martha Stewart จึงรับประกันความอร่อยและทำได้ง่ายอย่างแน่นอน



Chicken, Ham and Cheese Roll up served with Couscous and Pea


(สำหรับ 4 ที่)



เวลาในการเตรียม 15 นาที เวลาในการทำทั้งหมด 30 นาที


อกไก่ชิ้นบาง 8 ชิ้น

เกลือและพริกไทยบดหยาบ

ฮันนี่มัสตาร์ด 2 ช้อนโต๊ะ

เดลิแฮม สไลด์ตามแนวยาว 4 ชิ้น

สวิสชีส emmental cheese 24 เส้น

ถั่วลันเตาแช่แข็ง (frozen ให้น้ำแข็งละลาย) 2 ถ้วย

เนยจืด 1 ช้อนโต๊ะ

Couscous 3/4 ถ้วย


วิธีทำ

1.ตั้งอุณหภูมิเตาอบไว้ที่ 180 องศาเซลเซียส รองถาดอบด้วยอลูมินั่มฟอยล์ วางอกไก่ลงบนเขียงปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย

2.ทาอกไก่ด้วยฮันนี่มัสตาร์ด วางแฮมสไลด์ 1 แผ่น และชีสสองแผ่น ลงบนอกไก่แต่ละชิ้น ม้วนอกไก่ด้านที่ปลายแคบให้เป็นวง แล้วงางด้านที่ม้วนลงบนถาดอบ วางชีสสองชิ้นลงบนชิ้นไก่อย่างละ 2 ชิ้น เข้าอบจนสุกประมาณ 6-10 นาที

3. ในขณะเดียวให้ผัดถั่วลันเตากับเนย และเติมน้ำลงไป 1 ถ้วยจนเดือด แล้วนำผสมกับคูสคูสในอ่างผสม ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ใช้ส้อมยีให้เข้า ปรุงรสด้วยเกลือพริกไทย และเสิร์ฟพร้อมอกไก่ค่ะ


แค่นี้ก็ได้มื้ออาหารง่ายๆที่อุดมด้วยประโยชน์แล้วล่ะค่ะ นอกจากอาหารจานนี้ที่ทำได้ง่ายแล้ว ยังมีสูตรคุ้กกี้แสนอร่อยอีกหนึ่งสูตรให้ได้ลองทำกันเล่นๆอีกด้วยนะคะ ใครชอบคุ้กกี้ช็อคโกแลตเนื้อนุ่มฉ่ำๆ สูตรนี้ทำแล้วไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนค่ะ เป็นสูตรที่แตมปรับมาจากสูตรคุ้กกี้ของคุณ Martha Stewart เช่นเดียวกันค่ะ รอช้าอยู่ใยไปอุ่นเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียสรอไว้เลยนะคะ






Double Chocolate Cookie

ดับเบิ้ลช็อคโกแลตคุ้กกี้ (ได้ประมาณ 24 ชิ้น)

ส่วนผสม

ช็อคโกแลตชนิดหวานน้อยสับหยาบ (unsweetened Chocolate) 115 กรัม

แป้งอเนกประสงค์ตวงอัดแน่น 1 ถ้วย

ผงโกโก้ชนิดไม่หวาน 3 ช้อนโต๊ะ

ผงฟู 1 ช้อนชา

เกลือบดหยาบ 1/2 ช้อนชา

เนยจืด (ทิ้งไว้ให้นิ่ม) 115 กรัม หรือ 1/2 ถ้วย

น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย

น้ำตาลทรายแงดชนิดสีอ่อน 1/2 ถ้วย

ไข่ขนาดใหญ่ 2 ฟอง

กลิ่นวนิลลา 1 ช้อนชา

แครนเบอร์รี่แห้ง 1/2 ถ้วย

ช็อคโกแลตชิปหวานน้อย 1/2 ถ้วย

วิธีทำ

1.ตั้งเตาอบไว้ที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ละลายช็อคโกแลตในชามทนความร้อนที่มีน้ำเดือดเบาๆจนละลายดี พักไว้ แล้วร่อนแป้ง ผงฟู และเกลือเข้าไว้ด้วยกัน

2.ตีเนยและน้ำตาลในอ่างจนขึ้นฟู เติมไข่ วนิลลาและช็อคโกแลตเข้าด้วยกัน แล้วจึงเติมช็อคโกแลตชิปและแครนเบอร์รี่ครึ่งสูครลงไปคนผสม

3.ตักส่วนผสมของคุ้กกี้ด้วยที่ตักไอศกรีมไซส์เล็กลงบนแผ่นรองอบให้ห่างกันชิ้นละ 3 นิ้ว โรยด้านบนชิ้นด้วยช็อคโกแลตชิปและแครนเบอร์รี่ที่เหลือ อบนานประมาณ 15-17 นาทีจนผิวหน้ากรอบและแตก กลับด้านถาดอบเมื่อครบเวลาหนึ่งนึงในการอบ พักคุ้กกี้ไว้ 3 นาทีบนถาดอบให้เย็นสักนิดก่อนที่ย้ายมาวางพักไว้บนตะแกรงจนเย็นสนิทก็เป็นอันเรียบร้อย

ลองไปทำดูกันนะคะ ง่าย อร่อย และ สนุกดีค่ะ ^_^