เรื่องเล่าร้านหนังสือ
แต่งโดย สุพัตรา

ตอนที่่ฉันเขียนบอกพี่ปู ใน facebook ว่า "แล้วหนูจะเขียน review หนังสือ "เรื่องเล่าร้านหนังสือ" ของพี่ปูให้นะคะ ความจริงแล้วอย่าเรียกว่ารีวิวดีกว่าค่ะ เพราะด้วยประสบการณ์อันน้อยนิดของฉันคงจะทำได้เพียงแค่แบ่งปันความน่าอ่านและสิ่งที่ฉันได้ค้นพบจากหนังสือเล่มนี้ในช่วงเวลาสองคืนก่อนนอนที่ฉันและหนังสือเล่มนี้นั่งสนทนากันตามลำพัง ^_^
หากใครที่เป็นหายใจเข้าออกเป็น "หนังสือและตัวอักษร" หรือบางทีอาจจะมีร้านหนังสือเป็นเสมือนบ้านหลังที่สาม คำโปรยหน้าปกที่ว่า "ไม่มีชั่วขณะใดวิเศษไปกว่าการเดินอยู่ท่ามกลางหนังสือในร้านหนังสือแห่งนั้นแล้ว" คงจะทำให้อยากเปิดหนังสือเล่มนี้อ่านทันที ประโยคนี้ทำให้ฉันนึกถึงประโยคสวยๆในนวนิยายรักแสนหวาน ที่นางเอกอาจจะเอ่ยถึงความทรงจำแห่งรัก ใกล้เคียงกันแต่ต่างกันที่ พระเอกที่เป็นความทรงจำแห่งรักของผู้เขียนคือ "ร้านหนังสือ"
อะไรกันเล่าคือสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงตัวเล็กๆเพียงคนหนึ่งมีความฝันในการทำงานในร้านหนังสือได้ขนาดนี้ ฉันเห็นภาพเด็กหญิงปูตัวเล็กๆที่ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับแผงหนังสือของพ่อ และแอบสร้างโลกเล็กๆแห่งจินตนาการที่ชั้นหนังสือข้างเตียง เธอได้เติบโตมากับหนังสือดีๆ หนังสือที่บอกเล่าและดึงตัวเธอให้ร่วมเข้าสู่วิถีทางของมันโดยไม่รู้ตัว หนังสือเรื่อง "ร้านหนังสือที่รัก" คือตัวการใหญ่ที่คอยกระซิบพาเธอชมร้านหนังสือที่แสนจะมีเสน่ห์ และเรื่องราวแห่งมิตรภาพที่ก่อตัวขึ้นท่ามกลางร้านหนังสือก็สร้างความตรึงใจให้กับเด็กหญิงที่เติบโตเป็นหญิงสาวที่อยากจะได้สัมผัสและมีประสบการณ์กับ "ร้านหนังสือ"จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ภาพฝันในจินตนาการ
ท่ามกลางเสียงคัดค้านว่า การเป็นผู้จัดการร้านหนังสือสำหรับตัวเธอนั้นช่างไม่สมกับความรู้ความสามารถ เธอเหมาะจะเป็นบรรณาธิการนิตยสารเสียมากกว่า เงินเดือนของผู้จัดการร้านหนังสือนั้นเล่าก็ช่างน้อยนิดเมื่อเทียบความเหนื่อยและความครียดกับความรับผิดชอบสูง ไหนจะทั้งหนังสือและพนักงาน แต่พี่สาวคนนี้เธอเลือก งานที่สร้างความสุข มากกว่าที่จะคิดในเรื่องของค่าตอบแทน ลองคนเราได้รักในสิ่งใดแล้ว เราก็ไม่คิดเรื่องกำไรขาดทุนหรอกค่ะ จริงไหม ในเมื่อประสบการณ์ไม่มีโรงเรียนไหนสอนและที่สำคัญเงินก็ซื้อไม่ได้ด้วยซิ มีเพียงแค่แรงใจกับแรงกายเท่านั้นที่จะทำให้เราได้มันมาครอบครอง
เมื่อโอกาสแห่งการได้เป็นผู้จัดการร้านหนังสือมาถึง แน่นอนว่าพี่สาวคนเก่งของฉันย่อมไม่พลาดโอกาสนี้แน่นอน เพราะเราไม่อาจทราบได้ว่าโอกาสนั้นจะมาเคาะประตูที่หน้าบ้านเราอีกเมื่อไหร่
ตอนที่อ่านหนังสือเล่มนี้ในช่วงแรกๆฉันก็ไม่คิดหรอกนะคะว่า ฉันจะกระโดดเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นปูน้อยตัวจิ๋วที่แอบเดินตามพี่ปูไปตามบทต่างๆในหนังสือ เพราะถึงแม้ฉันจะทำงานในแวดวงการขีดๆเขียนๆ ฉันก็เป็นแค่นักเขียนตัวเล็กๆ และก็ยังไม่เคยได้มีโอกาสไปนั่งเสวนาหนังสือและจิบกาแฟในร้านกาแฟกับนักเขียนอาวุโสที่มีความคิดแหลมคมอย่างที่พี่ปูเล่า ฉันยังเป็นเพียงแค่คนที่เดินเข้ามาในร้านหนังสือ กวาดตามองหาหนังสือที่ต้องใจ นานๆครั้งก็แอบอยู่ในมุมเพื่อเป็นนักสืบคอยสังเกตการณ์ว่าจะมีใครบ้างไหมนะที่จะเลือกซื้อหนังสือของฉัน 55
บางครั้งก็เกิดอาการน้อยอกน้อยใจร้านหนังสือที่ไม่ช่วยเอาหนังสือของฉันตั้งขายในตำแหน่งที่คนซื้อสังเกตเห็นได้ง่ายๆ และความน้อยใจและกังวลใจเรื่องยอดขายหนังสือก็ทวีมากขึ้น เมื่อฉันเกิดอุตริคิดจะพิมพ์หนังสือขายเอง ท่ามกลางเสียงคัดค้านของพี่ๆที่รักทุกคนที่กล่าวตักเตือนด้วยความหวังดี ว่าหนังสือกล้อง Toy Camera ของฉันคงจะไม่วายเป็นดังปลาตัวเล็กๆที่ว่ายทวนกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากแข่งกับหนังสือในกระแสที่มีเงินทุนหนาๆที่เหมือนกับเรือดำน้ำติดเทอร์โบ Y_Y ฉันช่างกล้าที่จะเจ็บตัวยิ่งนัก 55 ตอนที่ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ ฉันเห็นเงาของตัวเองที่ทับซ้อนกับพี่ปูอยู่ เหตุผลที่ทำไม่ได้มีอะไรนอกจากมาใจล้วนๆ ใจรักของคนที่จะทำหนังสือดีๆสักเล่มที่แม้จะไม่เห็นของเค้ากำไรงามที่ผลิดอกออกผลให้ชื่นใจรออยู่เบื้องหน้า แน่นอนว่าฉันไม่ต่างอะไรกับพี่ปูที่เดินไปติดกับกักดักความฝันอันงดงามนั้นอย่างเต็มใจ
"ความฝันอันงดงามมักหลอกล่อให้เราติดกับ แต่ความจริงต่างหากที่จะสอนให้เรารู้และเข้าใจ" วันนี้ฉันเข้าใจประโยคนี้โดยท่องแท้ และไม่เคยนึกเสียใจที่จ่ายค่าประสบการณ์ด้วยเงินลงทุนที่แสนแพง เช่นเดียวกับที่พี่ปูได้มอบวิญญานให้กับร้านหนังสือในช่วงเวลาหนึ่ง
ตอนที่เราเดินก้าวไปที่ร้านหนังสือด้วยความตื่นใจ ที่เห็นหนังสือน่าอ่านมากมายเรียงรายเชื้อเชิญให้เราหยิบอ่าน ความสุขในการเลือกซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือเองต่างจากการซื้อออนไลน์คือการที่นิ้วมือของเราได้สัมผัสกับหนังสือที่จะเพื่อนคนใหม่ซึ่งหากได้ทักทายกันเป็นที่ถูกใจ เราก็อาจได้พาเพื่อนใหม่เหล่านั้นกลับบ้าน
เราไม่ได้สนใจหรอกว่าก่อนที่ร้านเปิด หรือ หลังร้านปิด มดงานในร้านหนังสือจะยุ่งขิงขนาดไหน เราจะเรียกหาเขาก็ต่อเมื่อเราหาหนังสือเล่มที่เราต้องการไม่เจอ หรือ หนังสือของเราที่เขียนหรือลงทุนพิมพ์ถูกจัดวางในตำแหน่งที่ผู้ซื้อมองให้เห็นอย่างที่กล่าวมา และอดจะกล่าวหาร้านหนังสือไม่ได้ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้หนังสือของเราขายไม่ดี
หากฉันไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ฉันก็คงไม่รู้หรอกนะว่า คนที่ทำงานในร้านหนังสือต้องทำงานหนักเพียงใด ต้องจัดการกับหนังสือปกใหม่ที่ถูกส่งมาวางที่หน้าร้านไม่ต่ำกว่าวันละ 40 เล่ม พระเจ้าช่วย! หนังสือเก่าตั้งมากมาย หนังสือใหม่ก็เข้ามาทุกวัน จะทำยังไงให้เจ้าของหนังสือทุกเล่มในร้านฯได้รับการจัดวางให้เป็นที่พอใจอย่างยุติธรรมเท่าเทียมกัน ฉันอยากจะเดินเข้าไปหนังสือเล่มนี้และถามพี่ปูในช่วงเวลาที่เป็นผู้จัดการร้านหนังสือจังเลยว่า "พี่จัดการกับกองทัพหนังสือเหล่านี้ได้อย่างไรกันเนี่ยะ!"
นี่คือส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ที่ฉันก้าวเข้าไปมีส่วนร่วมโดยไม่รู้ตัว นอกเหนือจากนั้นก็คือประสบการณ์บางส่วนจากร้านหนังสือที่พี่ปูถ่ายทอด เช่นเรื่อง มิตรภาพที่งอกเงยระหว่างการทำร้านหนังสือ ความเห็นอกเห็นใจ ที่สร้างโอกาสให้คนตัวเล็กได้มีอาชีพเป็นนักเขียนชื่อดัง เป็นเจ้าสำนักพิมพ์ที่มีชื่อในเวลาต่อมา การเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับทำหนังสือ ได้สร้างเพื่อนใหม่ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในเวลาต่อมา
ฉันได้รู้จักกับพี่ปูและมีโอกาสได้ปรึกษาพี่ปูเรื่องการทำหนังสือก็เมื่อไม่นานมานี้นี่เอง แต่ฉันก็ยังประกายเห็นความสุขในแววตาของพี่ปูยามที่ได้คำแนะนำที่ดีๆกับฉันหลายอย่าง แม้แต่คำตบท้ายที่บอกกับฉันว่า "นี่เพราะรักกันจริงๆหรอกนะ ถึงได้เตือนว่าอย่าได้ริอ่านทำหนังสือ" ^_^ ฉันรู้ว่าพี่ปูพูดไปยังงั้นเองแหละ คนรักการทำหนังสือเหมือนกันแค่มองตาก็เข้าใจ
หนังสือเล่มนี้นอกจากจะให้เกร็ดความรู้เกี่ยวกับร้านหนังสือแล้ว คนที่ไม่ได้อินกับร้านหนังสือเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็คงจะเกิดแรงฮึดที่จะทำสิ่งที่ฝันให้เป็นจริงอย่างแน่นอน และคงจะเริ่มเดินเข้าร้านหนังสือด้วยมุมมองใหม่และความเข้าใจที่มีต่อร้านหนังสือมากขึ้น ฉันขอเป็นตัวแทนของคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้ และกำลังจะซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านขอบคุณพี่ปูที่เขียนถ่ายทอดเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นในร้านหนังสือในเราฟัง และขอบคุณที่พี่สาวคนนี้ที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงอึดที่ไล่ตามความฝันให้เราไม่ย่อท้อที่จะทำให้ "ครั้งหนึ่งในชีวิตของเรามีความทรงจำดีๆที่ได้พยายามทำตามความฝันนะคะ"
วิชญา บุณยเกตุ (แตม)