วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

Easy Recipe :: ทอดมันข้าวโพดกุ้งสับ


ทอดมันข้าวโพดกุ้งสับ
ของว่างจานโปรดที่ทำแสนง่าย

ฉันเป็นคนไม่ชอบกินอาหารจานใหญ่ๆที่ต้องกินอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แล้วก็หาเครื่องดื่มที่ชอบ อาจจะเป็นโค้กเย็นๆ ชามะนาว หรือไม่ก็ไวน์นั่งจิบไปด้วย 555 ดังนั้นอาหารในชีวิตประจำวันของฉันจึงมักจะเป็นอาหารทานเล่นเสียมากกว่า ทอดมันข้าวโพดนี่เป็นหนึ่งในสุดยอดเมนูที่โปรดปรานเลยล่ะค่ะ เพราะว่าข้าวโพดทั้งหอมและหวานและยังได้รสกุ้งสับกรุบๆ จิ้มกับน้ำจิ้มไก่ อร่อยเริ่ดมากๆ ลองทำกันดูไหมคะ เพราะว่ามันง่ายแสนง่ายจริงๆ แถมยังเป็นอาหารสุขภาพด้วยค่ะ

ส่วนประกอบ
ข้าวโพดหวานที่ตำพอแหลกๆ (เฉพาะเม็ด)  2 ถ้วย
กุ้งสับ 1/4 ถ้วย
ไข่ 1 ฟอง
แป้งสาลีอเนกประสงค์  2  ช้อนโต๊ะ
แป้งโกกิ 2  ช้อนโต๊ะ
เกลือและพริกไทย  (ปรุงรสตามใจชอบ)
น้ามันพืช 1 ถ้วยสำหรับทอด

1. เริ่มจากผสมข้าวโพดหวาน กุ้งสับ ไข่ที่่ตีผสมแล้ว แป้งอเนกประสงค์ แป้งโกกิ และเครื่องปรุงรสให้เข้ากัน


2. ตั้งนำมันในกะทะให้ร้อน


3. เอาส่วนผสมที่ได้ในขั้นตอนที่่ 1 มาปั้นเป็นก้อนแล้วกดให้แบน 



4. นำมาทอดกะทะที่ตั้งน้ำมันจนร้อนจัด อย่าลืมพลิกกลับด้านนะคะ เดี๋๋ยวจะไหม้ซะก่อน



5. พอสุกเหลืองทองได้ที่ก็นำไปซับมันบนกระดาษ



6.พร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ ง่ายใช่ไหมล่ะ จิ้มกับน้ำจิ้มไก่อร่อยมากๆ 



แต่ขอเตือนนะคะ กินมากๆ น้ำหนักขึ้นอย่ามาโทษกันนะคะ 











 



วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2552

My Holiday in Philly,USA


Post card from NYC-PA



วลาไปเที่ยวต่างประเทศทีไร ก็จะมีเพื่อนๆขอให้ส่งโปสการ์ดมาให้หน่อย แต่ไม่มีกี่คนหรอกนะที่ได้รับโปสการ์ดจากฉัน นั่นเป็นเพราะฉันเกลียดการเขียนโปสการ์ด เวลาที่รู้สึกว่า "ต้องเขียน" ฉันก็จะรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะเขียนขึ้นมาซะอย่างนั้น แล้วจะเล่าอะไรให้ฟังดีล่ะ ? เพราะความจริงแล้วการเที่ยวการพักผ่อนในแบบฉบับของฉันมันเรียบง่าย และ ไม่มีอะไรมากมายขนาดที่ต้องเล่าให้ฟังนี่นา ดังนั้นข้อความในโปสการ์ดของฉันจึงมักจะเป็นเรื่องราวที่ขาดๆเกินๆ เร่งรีบ และดูเหมือนไม่ค่อยตั้งใจ คราวนี้ฉันก็เลยอยากจะลองเล่าถึงการไปเที่ยวแบบไม่ตั้งใจประดิดประดอยเขียนดูบ้าง เพราะก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า หากตัวเองจะลองเล่าเรื่องเหมือนการส่งโปสการ์ด มันจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากเขียนส่งงานคอลัมน์ไหมนะ?

NYC

ฉันเริ่มต้นการท่องเที่ยวที่นิวยอร์คก่อน "นิวยอร์ค" มหานครใหญ่ที่ใครหลายๆคนบอกว่าทุกสิ่งอย่างที่ล้วนเป็นสุดยอดของความปรารถนาอยู่ที่นครแห่งนี้ ฉันมองเห็นสิ่งที่ใครต่างหลงใหลได้ปลื้มแต่ฉันกลับไม่ซาบซึ้ง ผู้คนที่จอแจ การจราจรที่แน่นขนัด เสียงรถดับเพลิงดังวี๊ดๆทั้งในยามหลับและตื่นช่างรบกวนโสตประสาทและความสงบได้อย่างเหลือเชื่อ ตึกสูงใหญ่ที่แหงนหน้ามองแล้วรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก
ดังนั้นนิวยอร์คจึงไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวในอุดมคติของฉันสักเท่าไหร่

หากจะให้เขียนโปสการ์ดเล่าเรื่องจากนิวยอร์ค จะให้ฉันเล่าถึงอะไรดีล่ะ ถ้าให้นึกถึงสถานที่ก็คงจะเป็นลานเสก็ตหน้าร็อคกี้เฟลเลอร์ พูดจริงๆ ที่นี่ก็ไม่ได้เป็นสถานที่สวยเก๋อะไร เพียงแต่ว่าเป็นฉากหนึ่งในหนังเรื่อง Serendipity ที่ฉันชอบดูมากๆ อยากจะไปเล่นไอซ์เสก็ตดูเหมือนกัน แต่ก็คงไม่ไหวเพราะอากาศหนาวจับใจ หลังจากได้แอ็คท่าเป็นนางเอกหน้าลานไอซ์เสก็ตพอเป็นพิธีแล้ว นอกจากนั้นฉันก็ไม่ได้ไปไหนมากนัก เพราะเพลียจากการอาการ "jetlag" พอวนรถดูเมืองก็กลับมาหลับอย่างเซื่องซึมที่โรงแรมและเปิดแผ่นดีวีดีละครเกาหลีไปด้วย หลายคนที่อ่านคงจะคิดว่าบ้าหรือเปล่ามาตั้งไกล ทำไมไม่ขยับเขยื้อนกายไปไหน อย่างนี้อยู่บ้านดีกว่ามั๊ง อืม..ก็อาจจะจริง แต่ว่าฉันเป็นคนที่ไม่ฝืนเที่ยวเวลาที่สภาพร่างกายและจิตใจไม่พร้อม เพราะเที่ยวแล้วไม่สนุก

แต่ถึงฉันจะไม่อยากออกไปไหน น้องสาวที่เป็นคนจัดทริปก็ยังสามารถลากตัวฉันออกมาจากถ้ำได้ "ละครเกาหลีน่ะ ดูที่บ้านก็ได้ มานั่งดูอะไรตอนนี้ย่ะ ไปดูละครเวทีกันดีกว่่า" ไหนๆ ก็จัดมาแล้ว ฉันก็เลยได้ไปดูละครเวทีเรื่อง "Phantom of the Opera" หรือ "ผีโรงละคร" ขอสารภาพว่าแอบหลับค่ะ และเหลือบไปมองคนข้างๆก็หลับเหมือนกัน แสดงว่ามันคงไม่สนุกจริงๆ 555 หรือไม่พวกเราก็อาจจะเป็นชนกลุ่มน้อยในโรงละครที่ไร้สุนทรียภาพในการเสพงานศิลปะเหมือนกัน ดูละครเสร็จ ท้องฉันก็เริ่มร้องโวยวายว่า "หิว" เพื่อนของน้องสาวที่เป็นชาวนิวยอร์คเกอร์ที่ไปดูละครด้วยกันก็เลยเสนอว่า "งั้นไปกินข้าวกัน" เราก็นั่งรถไฟใต้ดินไปกินอาหารญี่ปุ่นตามคำขอของฉัน ช่วงนีฉันเริ่มตื่นหลังจากได้คาร์โบไฮเครตและโปรตีนเข้าสู่ร่างกาย และ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างสาเก และ โมฮิโต้สาเก สักเล็กน้อยให้พอคึกคัก ตอนแรกก็ว่าจะไปบาร์ขนมกันต่อ แต่บังเอิญแฟนสาวของพ่อหนุ่มนิวยอร์คเกอร์เกิด emotional Crisis เราก็เลยแยกย้ายกันไปตามระเบียบ ๆ


"เรื่องเที่ยวเรื่องเล็ก แต่เรื่่องกินเรื่องใหญ่" คตินี้สืบทอดมาจากต้นตระกูลเจ้าคุณปู่ เราไม่ได้แสวงหาร้านอาหารที่หรูเริ่ด แต่เราแสวงหาร้านอาหารที่อร่อยเป็นหลัก มีคนแนะนำว่าเสต็กเนื้อทอดร้านหนึ่งในเขต Brooklyn อร่อยมาก ร้านเสต็กร้านนี้มีชื่อว่า "Peter Luger Steak House" เค้าโฆษณาตัวเองว่าร้านของข้าน่ะโด่งดังมากว่า 100 ปี และถือได้ว่าเป็นร้านอันดับหนึ่งในนิวยอร์คมากว่า 24 ปีแล้ว เมื่อก้าวเข้าไปในร้านจะเห็นป้ายแสดงรางวัลเกียรติคุณยาวเต็มฝาผนัง เนื้อที่นี่ถูกเลือกอย่างพิถีพิถัน ส่วนที่ใช้ทำเสต็กเรียกว่า "Short Loin" เป็นส่วนหลังของวัว เนื้อวัวของที่นี่จะมีสีชมพูเข้ม และมีไขมันหรือ marble กระจายอยู่ทั่วชิ้น คิดดูแล้วกันนะคะว่าจะนุ่มลิ้นและละลายในปากได้สักขนาดไหน ปกติฉันเป็นคนระวังเรื่องการกิน เพราะยอมรับว่ากลัวอ้วนค่ะ ยิ่งเนื้อที่มันๆแล้ว ก็ควรหลีกเลี่ยง แต่งานนี้สู้ตาย เอาเป็นว่าโต๊ะของเราสั่งเสต็กกันหมดยกเว้นแม่ที่ไม่กินเนื้อ ที่นี่นอกจากเนื้อสเต็กแล้วก็ซอสเสต็กสูตรต้นตำรับที่เป็นเกรวี่รสชาติออกหวานๆเปรี้ยวๆ เราสรุปกันว่า อร่อยจริงคะ เพราะคุณภาพเนื้อดีเยี่ยม อืม แต่รสชาติมันคุ้นๆเหมือนสลัดสเต็กเนื้อย่างตำรับสีลมภัตตาคารยังไงก็ไม่รู้ บางทีเจ้าของร้านสีลมภัตตาคารอาจจะได้แรงบันดาลใจจากร้านเสต็กเจ้านี้ก็ได้



PA
หลังจากงงงวยกับการท่องเที่ยวอยู่ในนิวยอร์คสามวันสองคืนเราก็อพยพกลับไปที่่เมืองฟิลลาเดเฟีย (Philadephia) ซึ่งเป็นเมืองที่น้องสาวของฉันเรียนปริญญาโทอยู่ ที่เราหอบสังขารกัันมาไกลถึงอเมริกาก็เพื่อมาเยี่ยมน้องสาวของฉันนี่แหละค่ะ ที่เมืองนี้มีอะไรดีบ้าง เมืองฟิลลาเดเฟียถือได้ว่าเป็นเมืองเก่าที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของอเมริกาเลยทีเดียว เพราะว่าเคยเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของประเทศอเมริกาล่ะ สัญลักษณ์ของเมืองก็คือ ระฆังที่มีรอยแตกร้าว (Liberty Bell) ถ้าไม่ร้าวก็เป็นของปลอมนะคะ เจ้าระฆังร้าวเนี่ยะถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอิสรภาพ



"Proclaim LIBERTY throughout all the Land unto all the Inhabitants thereof Lev. XXV X

By Order of the ASSEMBLY of the Province of PENSYLVANIA for the State House in Philada
Pass and Stow
Philad
MDCCLIII"

หลังจากตีระฆังนี้ถูกตีดังแก็ง มันก็แตกซะงั้น กลายเป็นระฆังที่มี Gimmic ไปได้โดยไม่ต้องตั้งใจ นอกจากนี้แล้วมีอะไรที่น่าสนใจเกี่ยวกับเมืองนี้อีกเหรอคะ ก็คงเป็นเรื่องมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอย่าง Wharton Business School ที่คุณมหาเศรษฐีอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ จบมา ขอคุยหน่อยว่าน้องสาวเรียนที่นี่ค่ะ พี่สาวอย่างฉันเลยมีบุญได้ไปเที่ยวที่นี่ และได้เคยแอบแฝงกายไปเข้าห้องเรียนกับเค้ามาด้วย อยากถ่ายรูปห้องเรียนมาฝากให้ชมกันจัง แต่น้องสาวบอกว่าอย่าทำตัวบ้านนอกตื่นกรุงได้ไหม ฉันก็เลยอดถ่าย (เฮ้อ ไม่รู้ใครเป็นพี่เป็นน้องถึงต้องเชื่อฟังคุณน้องสาวไปซะทุกเรื่อง) ขอบอกว่านอกจากมหาวิทยาลัยจะคัดแต่สุดยอดของผู้มีมันสมองแล้ว สาวๆทั้งหลายจงฟังทางนี้ ขอประกาศให้รู้ทั่วกันว่า หนุ่มๆที่นี่นอกจากจะฉลาดแล้ว เค้าไม่เนิร์ดกันนะคะ หล่อเริ่ดและคุยสนุกมากๆ ถ้ารู้อย่างนี้จะตั้งใจเรียนตั้งแต่เด็กๆ และจะไม่รีบมีแฟนเลยล่ะ 5555

นอกจากมหาวิทยาลัยดังและหนุ่มหล่อที่ควรค่าแก่จับจองเป็นเจ้าของแล้ว ที่นี่ก็เป็นเมืองที่มีร้านอาหารและบาร์สุดยอดหลายแห่ง ที่มีชื่อเสียงมากคือ ร้านอาหารในกลุ่ม Starr Restaurant ที่มีถึง 12 แห่งในฟิลลี่ 2 แห่งในนิวยอร์ค 4 แห่งในแอตแลนติคซิตี้ และ ฯลฯ แต่ละร้านจะมีสไตล์และรูปแบบอาหารที่ต่างกัน


ร้านโปรดของฉันคือ "Alma de Cuba" ซึ่่งเป็นร้านอาหารกึ่งผับแนวคิวบา ร้านนี้แน่นตลอดถึงขั้นต้องโทรจองนานๆ อาหารจานเด็ดของที่นี่คือ "Duck Raspado" อกเป็ดอบกับน้ำทับทิม เสิร์ฟพร้อมข้าวกล้องอบกรอบๆที่คลุกกับถั่วบดรสเผ็ด ลูกเกดเชอรรี่ และไพน์นัท แค่ส่วนประกอบก็เริ่ดแล้วล่ะค่ะ แต่สำหรับเครื่องดื่มสุดโปรดสำหรับสาวผู้หลงใหลการดื่ม ต้องยกให้ "Classic Mojito" ที่มีดีกรีรัมจัดจ้าน ผสมกับน้ำตาลทรายแดง และน้ำมะนาวขมๆ ใบมินต์ และอ้อยสดๆหวานเจี๊ยบให้เคี้ยวเล่น เมาเร็วดีค่ะ แก้วเดียวเปรี้ยวได้ทั้งคืนจริงๆ 55555











นอกจากร้านนี้แล้วก็มีร้าน "Continental Martini Bar" ที่มีข้าวอิตาเลี่ยนอย่าง "Seared Tuna :: Sesame and Black Pepper Crusted (Served Rare) with Mushroom Risotto ข้าวกรุบกำลังได้ที่ แล้วปลาทูน่าที่ดิบๆก็ไม่คาวด้วยค่ะ
จริงๆแล้วยังมีร้านอาหารดีๆอีกหลายแห่งที่ฉันได้ไปรับประทานค่ะ แต่ขออุบไว้ก่อน เพราะอยากรวมเรื่องเล่าให้ฟัง เร็วๆนี้ฉันจะต้องไปที่ฟิลลี่อีกครั้ง รับรองว่าจะรีวิวร้านอาหารเริ่ดให้ได้อิ่มตากันทีเดียว รวมทั้งร้านอาหารที่ถือได้ว่าดีสุดในเมืองนี้ที่มิชิลินสตาร์ต้องยกนิ้วให้ อดใจรอกันหน่อยนะคะ


กินอิ่มกันแล้วเราไปเดินเล่นสวนพฤกษชาติกันหน่อยดีไหมคะ แม่ของฉันเป็นคนที่รักต้นไม้มากค่ะ ถ้าได้ชื่อว่าต้นไม้แล้วล่ะก็ ต่อให้ไกลแสนไกล แม่จะดั้งด้นไปหามันราวกับเป็นขุมสมบัติของอินเดียนน่าโจนส์ เราก็เลยไปเดินเล่นที่สวนพฤกษชาติ "Long Wood Garden" ที่อยู่บริเวณชานเมืองฟิลลี่ พันธุ์พืชและดอกไม้ที่นี่จะหมุนเปลี่ยนกันไปตามฤดูกาล ช่วงที่เราไป แม่บอกว่าดอกไม้ที่นี่อิมพอร์ตมาจากเมืองไทยทั้งนั้นแหละ ขนาดมาจากเมืองไทย แม่ยังตื่นเต้นเลย ไปดูดอกไม้งามยาวหน้าหนาวด้วยกันดีกว่าค่ะ







ดอกไม้สีเหลืองนี่สามารถเห็นได้ทั่วไป น้องสาวชั้นบอกว่า "กล้ามากนะ ที่เอาใบหน้าของหล่อนไปทาบกับดอกไม้งามๆ 555"









แหม แล้วทีคุณน้องล่ะ ก็เอาหน้าบานๆไปเข่งสวยกับดอกไม้เหมือนกัน เอาเป็นว่าเราสองคนพี่น้องก็ถ่ายรูปกันแบบกล้าสวยไม่เกรงใจดอกไม้กันเลย อิอิ เอ๋ หารูปสวยๆของคุณน้องไม่เจอ งั้นเอารูปคุณน้องกินใบไม้ไปก่อนแล้วกัน อิอิ








ฉันก็เดินไปเรื่อยๆ ก็ไปสะดุดตากับสาวน้อยน่ารักที่กำลังชมสวน ชั้นแอบได้ยินว่า สาวน้อยคุยกับแม่่ว่า
"คุนแม่ขา หนูไม่อยากกลับอ่ะ ขอหนูเดินเริ่ดๆเชิดๆในสวนอีกนิดได้ไหม?"
"เอ๊ะ คุณลูกขา แม่บอกไม่รู้ฟัง สวนมันจะปิดแล้ว ไว้แม่พามาใหม่"
ฉันชอบน้องคนนี่้จริงๆ รักต้นไม้แต่เด็ก ถ้าเด็กทั่วโลกเป็นแบบนี้เราก็ไม่ต้องห่วงเรื่องภาวะโลกร้อนอีกต่อไป













สวนนี่สวยงามจริงๆแล้วก็ใหญ่จริงค่ะ ที่นี่เค้าจะมีอีเวนต์กันเนืองๆ เช่นงานจิบไวน์และแขมเปญ ฟังดนตรีแล้วชมสวนไปด้วย งานคอนเสิร์ต งานแต่งงาน ฯลฯ เห็นแล้วอยากจัดงานแต่งงานที่นี่จริงๆค่ะ ฉันบอกแม่ว่าฉันตัดสินใจแล้วว่าหากแต่งงาน ฉัันจะมาจัดงานแต่งที่นี่ แม่ก็เลยทำสายตาว่างเปล่าแล้วถามว่า "แต่งกับใครเหรอคุณลูก แม่ไม่เห็นแวว คงจะมีแต่หนุ่มตำบล Longwood และวงศาคณาญาติที่มางานนี้ได้" ก็จริงนะคะ 555 เอาเป็นว่าชอบแล้วกัน ใครที่กระเป๋าสตังค์หนักๆ อยากได้งานแต่งฯ สวยๆเริ่ดๆ ก็เชิญขนเงินดอลล่าร์มาที่นี่ได้เลยค่ะ


เราเดินจนถึงเวลาเขาไล่กลับเลยล่ะค่ะ เอาเป็นว่าฉันขอจบเรื่องราวโปสการ์เพียงเท่านี้ เรื่องบางเรื่องก็ควรเก็บเป็นความทรงจำส่วนตัวใช่ไหมคะ ความสุขในการเที่ยวของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ของฉันก็แบบนี้คงเหมือนเรื่องราวที่ขาดตอนและความสมบูรณ์ในโปสการ์ดนั่นแหละค่ะ และนี่ก็คือความสวยงามที่ฉันค้นพบในการท่องเที่ยวในแบบของฉันเอง










Travel in Romania :: The mystery land of Dracura!



โรมาเนีย

ดินแดนแห่งท่านเคาน์แดร็กคูร่า

กาลครั้งหนึ่งนานแล้ว มีเรื่องเล่าขานกันว่า ณ คฤหาสน์เก่าแห่งหนึ่งในแคว้นทรานซิลวาเนีย มีท่านเคาน์ผู้มีอายุยืนยาวกว่าสามศตวรรษเป็นผู้ปกครองแคว้นแห่งนี้อยู่ กล่าวกันว่าบรรยากาศของปราสาทที่ผู้ครองแคว้นแห่งนี้ช่างวังเวงระคนความสยองขวัญ แขกผู้มาเยือนที่ปราสาทจะได้พบกับสาวงามในยามวิกาลที่แสนจะยั่วยวนใจ แต่ในวินาทีสุดแห่งชีวิตอาจจะเพิ่งมาตระหนักได้ว่าตนได้ตกเป็นเหยื่ออันโอชะของท่านเคาน์และเหล่าบริวารเสียแล้ว เรื่องของท่านเคาน์แดร็กคูล่าผู้กระหายเลือดจะเป็นแค่เรื่องที่แต่งขึ้นหรือจะเป็นเรื่องจริงจากตำนานกันแน่นั้น เป็นปริศนาที่ทำให้ผู้มาเยือนดินแดนโรมาเนียแทบทุกคนปรารถนาที่จะได้ทราบคำตอบ พร้อมๆกับอีกหลายคำถามในใจว่าดินแดนที่ลึกลับแห่งนี้ยังมีอะไรที่ซ่อนไว้ให้ค้นหาอีกไหมหนอ

วันแรกของการเดินทาง บูคาเรสต์-ชมเมือง-ลานปฎิวัติสงคราม-รัฐสภาโรมาเนีย


เมืองหลวงของประเทศโรมาเนียชื่อว่าอะไรเอ่ยระหว่าง บูคาเรสต์ หรือว่า บูดาเปสต์? หลายคนตอบอย่างมั่นใจว่า บูดาเปสต์ ซึ่งเป็นคำตอบที่ผิดค่ะ กรุงบูดาเปสต์เป็นชื่อเมืองหลวงของประเทศฮังการี ซึ่งเราอาจจะคุ้นหูมากกว่าเพราะวงดนตรีฮิปฮอบชื่อดังวงหนึ่งของบ้านเรายืมชื่อเมืองนี้มาใช้เป็นชื่อวงดนตรี ดังนั้นทุกท่านก็เข้าใจตรงกันแล้วว่า เรากำลังอยู่ที่ กรุงบูคาเรสต์ (Bucharest) ซึ่งเป็นชื่อของเมืองหลวงประเทศโรมาเนียกันนะคะ บรรยากาศในเมืองบูคาเรสต์เป็นอย่างไรนั้น อยากให้ท่านลองนึกถึงบรรยากาศในประเทศยุโรป และประเทศที่มีความใกล้เคียงกันที่สุดก็คงจะเป็นมหานครปารีสที่แสนจะน่ารักและสง่างาม การที่ใครต่อใครพากันอ้างอิงว่ามีความคล้ายคลึงกันนั้นก็คงเป็นเพราะว่าภูมิประเทศของเมืองบูคาเรสต์ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยเทือกเขาที่ทะเลสาบน้อยใหญ่จำนวนมากมายนั่นเอง นครแห่งนี้จึงได้รับสมญานามว่า เมืองปารีสน้อย (Little Paris)”

สิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงความเป็นนครปารีสขนาดย่อมก็คือ ประตูชัยที่ตั้งอยู่บนถนน Kisseleff ที่มีหน้าตาราวกับเป็นฝาแฝดกับประตูชัยที่นครปารีส เพียงแต่มีขนาดย่อมกว่า ประตูชัยแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ความกล้าหาญและการพลีชีพของทหารชาวโรมาเนียในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การชมเมืองของเราดำเนินไปอย่างตื่นตาตื่นใจ เมืองบูคาเรสต์ถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีสถาปัตกรรมสไตล์ยุโรปเก่าแก่ที่น่าสนใจมากที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะได้ผสมผสานสถาปัตยกรรมของประเทศในยุโรปที่แสนจะร่ำรวยด้วยมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอย่างเช่น เยอรมัน ฮังการี ฝรั่งเศสไว้ได้อย่างลงตัว


และแล้ว... รถนำเที่ยวชมเมืองของเราก็พาเราไปยังบริเวณถนน Calea Victories (Victory Avenue) ซึ่งถือได้ว่าเป็นถนนสายที่เก่าแก่และสง่างามที่สุดในนครหลวงแห่งนี้ ถนนแห่งนี้จะเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น ลานปฎิวัติสงคราม (Revolution Square) ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยอาคารที่มีความสำคัญคือ สำนักงานใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ CEC (CEC Headquarter) ที่ท่านผู้นำคอมมิวนิสต์ ประธานาธิบดีนิโคลัส เชาเชสกู (Nicolae Ceauşescu) ได้กล่าวสุนทรพจน์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นชีวิต และถัดออกไปไม่ไกลนักก็จะเป็นสโมสรทหาร (Military Club) และ โรงละครแห่งชาติของโรเนีย (The Romanian Athenaeum ) ที่ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศสชื่อดัง Albert Galleron” จึงทำให้โรงละครแห่งนี้ดูสง่างามแบบฝรั่งเศสและยิ่งใหญ่แบบโรมัน ภายในด้านอาคารประดับดาด้วยใบไม้ทองที่เกี่ยวพันกันดูคล้ายกับสร้อยคอเพชร

เราจบการเดินทางวันแรก ณ นครบูคาเรสต์ด้วยการไปเยี่ยมชมรัฐสภาโรมาเนีย (Palace of Parliament) และทำเนียบของท่านประธานาธิบดีเชาเชสกู ที่ปรารถนาใช้ชีวิตอย่างหรูหราโอ่อ่าจนได้สร้างอาคารรัฐสภาโรมาเนียแห่งนี้อย่างวิจิตรและใหญ่โตเป็นอันดับสองของโลกรองมาจากอาคารรัฐสภาของประเทศสหรัฐอเมริกา มีห้องมากถึง 6,000 ห้อง สิ่งที่ไม่ควรพลาดในการชมก็คือ ห้องแกรนด์บอลลูมที่ประดับประดาด้วยโคมไฟโบฮีเมียนที่หนักถึง 5 ตัน และพรมเปอร์เซียผืนใหญ่ ปัจจุบันห้องต่างๆในอาคารรัฐสภาแห่งนี้ก็ยังคงทยอยสร้างกันอยู่ และเปิดให้บุคคลภายนอกสามารถเข้ามาจองใช้บริการห้องต่างๆเหล่านี้ในการประชุมได้ในสนนราคาที่สูงลิบ การเดินทางวันแรกช่างเต็มไปด้วยความน่าสนใจและแอบทึ่งไม่ได้ว่าประเทศเล็กๆในยุโรปตะวันออกอย่างโรมาเนียได้ซ่อนความยิ่งใหญ่ไว้ได้อย่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ

วันที่สอง : บูคาเรสต์-โคเซีย-ซีบิว-ออแกนซิบุยลุย

เมื่อตื่นมาแล้วนั่งอ่านโปรแกรมการท่องเที่ยวก็ทำให้ต้องรีบตุนอาหารเช้าไว้เติมพลังล่วงหน้าเพราะวันนี้เราต้องไปท่องเที่ยวหลายแห่ง ทันทีที่รถแล่นออกจากนครบูคาเรสต์ก็ทำให้ได้เริ่มเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านโรมาเนีย ไกด์ท้องถิ่นเล่าให้ฟังว่าชาวโรมาเนียต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบกษัตริย์มาอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ที่ทำให้วิถีชีวิตของชาวโรมาเนียตกอยู่ในภาวะที่ค่อนข้างจำกัดและตึงเครียดมากทีเดียว ดังนั้นเมื่อมาถึงในยุคปัจจุบันที่โรมาเนียได้ค่อยๆก้าวออกมาสู่โลกเสรี การได้ออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศและได้ซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อพักผ่อนตากอากาศจึงเป็นสุดยอดปรารถนาของชาวโรมาเนียทุกคน รวมทั้งไกด์ท่านนี้ที่มีบ้านพักตากอากาศถึงสองแห่ง ฟังแล้วยังอดอิจฉาไม่ได้ เมืองโคเซีย (Cozia) คือเมืองแรกที่เราได้ไปเยือน เราได้แวะไปชมโบสถ์โคเซีย (Cozia Church) เดิมโบสถ์แห่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 ด้วยไม้ แต่ถูกไฟไหม้จึงทำให้ต้องสร้างใหม่อีกครั้งด้วยอิฐที่มีลวดลายอันแสนจะวิจิตร นักบวชที่นี่คงคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดีจึงทักทายและชักชวนให้เราไปตักน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์มาดื่ม มีหรือที่คนไทยอย่างเราๆจะพลาดที่จะตักตวงความโชคดีก่อนที่จะล่ำราโบสถ์อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

นั่งรถต่อไปไม่นานนัก เราก็มาถึงเมืองซีบิว (Sibiu) เมืองแห่งนี้มีจุดเด่นที่สถาปัตยกรรมแบบเยอรมันที่มีสีสันสวยงามแบบเมืองตุ๊กตาแถมยังมีปล่องระบายอากาศที่มีรูปร่างเหมือนกับดวงตาที่กำลังจ้องมองเราอยู่ นอกจากนี้เมืองซีบิวยังเป็นหนึ่งในเจ็ดของเมืองป้อมปราการที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศและได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เมืองมรดกโลกอีกด้วย สิ่งที่น่าตื่นเต้นของการที่ได้มาเยี่ยมชมเมืองซีบิวก็คือความรู้สึกผ่อนคลายที่ได้มาเที่ยวชมบ้านเมืองที่มีความสวยงาม และความตื่นเต้นที่ได้มาชมโบสถ์คริสต์ศาสนานิกายต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโบสถ์กลางเมืองซีบิว อันเป็นที่ตั้งของหลุมศพบุคคลสำคัญถึง 76 ศพ รวมไปถึงพระโอรสองค์หนึ่งของเจ้าชายวลาส เดเปล ผู้ซึ่งเป็นต้นตำนานของท่านเคาท์แดร็กคิวล่า หลังจากเที่ยวชมเมืองกันแล้วเราก็ไปแวะรับประทานอาหารค่ำที่เมืองออแกนซิบุยลุย ที่ยังคงลักษณะบ้านเรือนและวิถีชีวิตของชาวโรมาเนียแบบดั้งเดิมเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่ค่ำแล้วเราจึงไม่ได้มีโอกาสชมเมืองได้มากนัก

วันที่สาม ออแกน ซิบุลลุย เหมืองเกลือ บราชอฟ-โพลน่า บราชอฟ

หลังจากการท่องเที่ยวที่แสนจะยาวนาน การเดินทางของเราก็เข้าใกล้ตำนานของท่านเค้าน์แดร็กคูล่าขึ้นทุกที แต่ก่อนที่เราจะไปเยือนบ้านของท่านเค้าท์ เราก็ได้ไปเที่ยวเหมืองเกลือที่เมืองใกล้เคียง ซึ่งต้องนั่งรถไฟใต้ดินดำดิ่งลงไป ว่ากันว่าการได้ไปสูดอากาศบริเวณเหมืองเกลือจะช่วยทำให้สุขภาพดี ที่เหมืองเกลือแห่งนี้จึงมีชาวโรมาเนียจำนวนมากที่พาลูกหลานมาเที่ยวเพื่อให้ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ที่นี่มีสนามเด็กเล่นและโบสถ์อยู่ด้วยเพื่อให้ใช้เวลาในเหมืองเกลืออย่างเพลิดเพลิน


ออกจากเหมืองเกลือ เราก็มุ่งหน้าไปยังเมืองบราชอฟ และ ไปเยือนหอนาฬิกาเป็นแห่งแรก ด้านบนของหอนาฬิกาจะมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามควรค่าแก่การไปถ่ายภาพไว้อย่างมาก นอกจากนี้ยังมีเครื่องหมายลูกศรและระยะทางของเมืองหลวงต่างๆในยุโรปที่ตั้งอยู่ห่างจากหอนาฬิกาแห่งนี้ โดยคำนวณระยะทางเป็นกิโลเมตรแสดงไว้ด้วย เมื่อเสร็จจากการชมหอนาฬิกาและถ่ายภาพชมเมือง เราก็แวะไปรับประทานอาหารกลางวันที่บ้านพักของท่านวลาสหรือท่านเค้าน์แดร็กคิวล่าในตำนาน ปัจจุบันนี้บ้านของท่านได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นภัตตาคารไปเสียแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่คงเหลือเค้าโครงเดิมไว้ ภายในอาคารถูกตกแต่งใหม่จนน่าเสียดาย

หลังจากได้ชมเมืองท่านเค้าท์แล้ว เราก็แวะไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อแวะซื้อครีมบำรุงผิวของดอกเตอร์ แอนนา อัสลาน เภสัชกรชาวโรมาเนียที่มีชื่อเสียงก้องโลกว่าได้ผลิตครีมที่ป้องกันริ้วรอยได้อย่างดีเยี่ยม โด่งดังขนาดที่ว่าผู้นำประเทศและนักการเมืองต่างๆทั่วโลกต่างล้วนเดินทางมาที่โรมาเนียเพื่อมาเข้าโปรแกรมดูแลรักษาผิวพรรณทุกปี ก่อนที่คณะของเราจะเข้าสู่ที่พักในเมืองโพลน่า บราชอฟซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองใหม่ที่ชาวยุโรปกระเป๋าสตังค์หนักนิยมเดินทางมาเล่นสกีกัน สนนราคาค่าใช้จ่ายที่นี่แพงยิ่งกว่าที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มากทีเดียว แต่จะสวยงามหรือดีกว่าหรือไม่นั้น คงต้องลองพิสูจน์ด้วยการมาลองเล่นสกีที่นี่ในช่วงฤดูหนาว

วันที่สี่ โพลน่า บราชอฟ- บราชอฟ-บราน-ซินายา

เราตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเดินทางไปยังเมืองบราชอฟซึ่งได้ชื่อมีว่ามีความสวยงามไม่แพ้กับเมืองในประเทศสวิตแซนด์แลนด์เลย ทันทีที่มาถึงเมืองแห่งหนึ่งนี้ ตรงใจกลางเมืองจะมีน้ำพุและร้านกาแฟที่ตั้งอยู่รายรอบ เหมาะที่จะนั่งเพื่อจิบกาแฟอย่างยิ่ง ที่ใจกลางเมืองแห่งนี้จะมี “Walking Street” หรือถนนคนเดินที่ชวนหลงใหลให้เดินชมสินค้าได้อย่างไม่รู้เบื่อ แถมยังมีนักดนตรีที่ผลัดกันมาเล่นดนตรีไม่ว่าจะเป็นเชลโล หรือ วงดนตรีขนาดเล็ก ที่ต่างช่วยสร้างสีสันให้กับเมืองแห่งนี้ได้ไม่แพ้กัน ด้วยความสวยงามน่าประทับใจ เมืองบราชอฟแห่งนี้จึงได้รับการขนานนามว่าเป็น สวิสน้อยแห่งยุโรปตะวันออกออก

หลังจากชมเมืองแล้ว เราจึงพากันไปเดินไปชมโบสถ์ดำ (Black Church) ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1383 สาเหตุที่ถูกเรียกว่าโบสถ์ดำก็เพราะว่าในอดีต เมืองแห่งนี้เคยถูกไฟไหม้ คราบดำจากเขม่าจึงไปเกาะที่ผนังโบสถ์จนเป็นสีดำทะมึน นอกจากโบสถ์ดำแล้วที่เมืองบราชอฟแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของโรงเรียนแห่งแรกและโรงพิมพ์แห่งแรกของประเทศโรมาเนียอีกด้วย

เมื่อเดินทางออกจากเมืองบราชอฟแล้วเราก็มุ่งหน้าไปสู่เมืองบราน (Bran) อันเป็นที่ตั้งของปราสาทบราน (Bran Castle) ที่เล่าขานต่อกันว่าเป็นปราสาทของ ท่านเคาท์แดร็กคูล่า ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 ตั้งอยู่บนภูเขาเพื่อป้องกันการรุกรานจากเขตชายแดนของแคว้นวาลาเคียและทรานซิลวาเนีย แต่ท้ายสุดแล้ว ปราสาทแห่งนี้เองนั่นแหละที่ได้กลายเป็นที่คุมขังของเจ้าชายวลาส เดเปล ผู้ที่ดำริสร้างปราทแห่งนี้เสียเอง


ชมปราสาทและถ่ายภาพกันแล้วก็ถึงเวลาช็อปปิ้งของพื้นเมือง ไกด์ท้องถิ่นชาวโรมาเนียแจ้งให้เราทราบว่าหากจะซื้อของฝาก ตลาดหน้าปราสาทบรานนี่แหละที่จะมีข้าวของให้เลือกซื้อมากที่สุดและสามารถต่อราคาได้เล็กน้อย หากต้องการจะซื้ออะไรก็ให้รีบซื้อที่นี่ เราจึงเสื้อยืดพิมพ์ลายแดร็กคูล่า ผ้าปักลายที่มีชื่อเสียง กระปุกแก้วใส่เกลือขัดผิวที่ย้อมสีสวยงาม เสื้อพื้นเมือง และของกระจุกกระจิกอย่างแม็กเน็ตติดตู้เย็น สมุดภาพ รูปปั้นเล็กๆ ติดไม้ติดมือกันไป


ก่อนที่รถจะพาเรามุ่งหน้าไปที่เมืองซินายาอันเป็นเมืองที่จะต้องพักแรมในคืนนี้ เราได้ไปแวะเมืองอาซูก้า ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการทำไวน์ ได้ชมโรงบ่มไวน์และชิมไวน์ต่างๆ ของที่นี่ซึ่งรสชาติดีและราคาไม่แพง คณะของเราจึงได้ไวน์รสชาติเยี่ยมกันหลายขวด และตั้งใจว่าคืนนี้จะดื่มฉลองค่ำคืนสุดท้ายของการท่องเที่ยวที่ประเทศโรมาเนียกันเสียหน่อย

วันที่ห้า ซินายา-ซีนากอฟ-บูคาเรสต์-กรุงเทพฯ



วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะเดินทางท่องเที่ยวในประเทศโรมาเนีย แต่เราก็ยังไม่ได้รับคำเฉลยจากไกด์ท้องถิ่นแต่อย่างใดว่าเรื่องของท่านเคาท์แดร็กคูล่านั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เธอบอกว่าไว้จบทริปแล้วจะเฉลย วันนี้เรารีบเดินทางแต่เช้าเพราะต้องรีบทำเวลาในการท่องเที่ยว มิฉะนั้นเดี๋ยวจะไม่ทันเวลาขึ้นเครื่องบิน เราเริ่มต้นการท่องเที่ยวในวันสุดท้ายที่ปราสาทเปเรส (Peles Castle) ซึ่งตั้งอยู่บนหุบเขาบูเซกิ ปราสาทแห่งนี้ถึงจะไม่ใหญ่โตเหมือนพระราชวังฤดูร้อนของประเทศอื่นๆในยุโรป แต่ความสวยงามแบบเรียบง่ายสไตล์เยอรมันของปราสาทแห่งนี้ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นปราสาทอีกแห่งหนึ่งที่สวยที่สุดในโลก ไม่ใช่เพียงแค่ภายนอกอาคารเท่านั้นที่สวยงาม ภายในพระราชวังก็ล้วนตกแต่งไว้อย่างวิจิตรประณีต หลายท่านถึงกับรำพึงว่าสวยงามยิ่งกว่าพระราชวังแวร์ซายน์ที่ปารีสเสียอีก


เราเดินชมปราสาทจนถึงเวลาอันควรแล้ว เราก็รีบมุ่งหน้าต่อไปยังเมืองซีนาคอฟเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน และล่องเรือในทะเลสาบซีนาคอฟไปยังเกาะเล็กๆอันเป็นที่ตั้งของวิหาร และที่วิหารซีนาคอฟนี่เองคือที่ฝังพระศพของเจ้าชายวลาส เดเปล ท่านเคาน์แดร็กคูล่า เที่ยวกันถึงสถานที่สุดท้ายแล้ว ไกด์ของเราจึงยอมเฉลยว่าแท้จริงแล้วเรื่องท่านเคาน์ แดร็กคูล่าเป็นเพียงเรื่องนิยายที่ถูกแต่งขึ้นโดยอาศัยเค้าโครงมาจากเจ้าชายวลาส เดเปลเท่านั้น เจ้าชายท่านนี้ไดรับการเล่าลือว่าเป็นคนที่มีความโหดเหี้ยม เพราะท่านชอบนำศัตรู ข้าศึก หรือ นักโทษมาเสียบร่างกายทรมานจนตาย จนได้ชื่อว่าท่านวลาสจอมเสียบ ประกอบกับบรรยากาศของประเทศโรมาเนียก็ดูสวยงามแบบลึกลับจึงทำให้นักประพันธ์ชื่อดังอย่างบราม สโตเกอร์แต่งจินตนาการเรื่องราวผีดิบดูดเลือดโดยที่ตัวของเขาเองไม่เคยมาเยือนที่ประเทศโรมาเนียเลยด้วยซ้ำ ที่สำคัญชาวโรมาเนียเองก็เพิ่งมารู้ภายหลังไม่นานมานี้นี่เองว่าประเทศของตนได้ถูกขนานนามว่าเป็น “เมืองของผีดูดเลือด” แต่ดูทุกคนก็พออกพอใจที่นิยายเรื่องนี้นำรายได้การท่องเที่ยวมาสู่ประเทศอย่างมาก และคุณไกด์ก็ขอแก้ความเข้าใจกับพวกเราทุกคนว่าถึงแม้ท่านวลาส เดเปลผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นแบบของท่านแดร็กคูล่าจะโหดเหี้ยมไปสักหน่อย แต่สำหรับชาวโรมาเนีย เจ้าชายท่านนี้ก็ได้สร้างความร่มเย็นและนำความสันติสุขแก่ประชาชนชาวโรมาเนียในช่วงเวลาที่ท่านปกครองดินแดน ดังนั้นนิยายเรื่องแดร็กคูล่าก็เป็นเพียงแค่เรื่องที่เสริมแต่งเกินจริงให้น่าอ่านมากขึ้นเท่านั้นเอง

และแล้ว...เรื่องราวการเดินทางของเราก็จบลงพร้อมการคลี่คลายปริศนาท่านเคาท์แดร็กคูล่าและความประทับใจดินแดนโรมาเนียที่สวยงามและลึกลับจนทำให้แอบหวังไม่ได้ว่าสักวันหนึ่งคงจะมีโอกาสได้กลับมาเยือนดินแดนแห่งนี้อีก

อาหารโรมาเนีย


อาหารโรมาเนียมีลักษณะหรือรสชาติเด่นอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่ยากที่จะอธิบายได้อย่างเด่นชัด เพราะมีความหลากหลายที่เกิดจากการผสมผสานวัฒนธรรมอาหารของหลายชนชาติที่มีอิทธิพล โดยเฉพาะอย่างอาหารบัลกันหรืออาหารกรีก นอกจากนี้ยังมีอาหารเยอรมัน เซอร์เบียน และฮังกาเรียนที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ อาหารโรมาเนียถือได้ว่าทำยากเพราะว่ามีวัตถุดิบที่หายาก อาหารส่วนใหญ่ของชาวโรมาเนียจะทำจากเนื้อหมูและไก่ นอกจากนี้ก็จะมีพวกพริกหวานยัดไส้ พุดดิ้งข้าว เนื้อก้อนชุปเกล็ดขนมปังทอดเป็นต้น ส่วนของหวานก็จะมีแพนเค้กเนื้อบางและโดนัทไส้แยม เค้กกาแฟที่เรียกว่า Chec ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่คอทองแดงทั้งหลายต้องไม่พลาดท้าพิสูจน์คือ ตุยก้า เหล้าพลัมที่มีดีกรีความแรงถึง 55-65 %เลยทีเดียว

+Traveller’s tip

* อากาศที่ประเทศโรมาเนียค่อนข้างจะแปรปรวน อาจจะหนาวมากในช่วงเช้าและค่ำๆ แต่จะเริ่มร้อนจึงเตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะแก่การปรับเปลี่ยนหรือสวมใส่ได้ง่ายเมื่ออากาศเปลี่ยน

* ไม่ควรจะแลกเงินเลย์ซึ่งเป็นสกุลเงินของโรมาเนียไว้มากเพราะจะหาสถานที่ในการแลกคืนได้ยาก

+When to go

โรมาเนียเป็นประเทศที่เหมาะแก่การเดินทางท่องเที่ยวตลอดทั้งปี แต่ราวๆปลายเดือนเมษายน-ต้นเดือนกรกฎาคม และ ปลายเดือนสิงหาคม-ปลายเดือนตุลาคม เป็นที่ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวที่สุดเพราะอากาศกำลังสบาย ช่วงหน้าร้อนอากาศจะร้อนจัดมาก และหนาวจัดในช่วงหน้าหนาวเช่นกัน แต่หากต้องการจะมาเล่นสกีแนะนำให้มาช่วงเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนเมษายน

+Festival

สามารถเช็คช่วงเทศกาลของประเทศโรมาเนียที่น่าสนใจในแต่ละเดือนได้ที่ http://www.romaniatourism.com/festivals.html

+Shopping Guide

สินค้าของฝากที่น่าซื้อคือ ผ้าปักลาย แก้วเจียรไนย เสื้อพื้นเมือง เกลือขัดผิว และครีมบำรุงผิวของดร. แอนนา อัสลาน โดยมากแล้วสินค้าแต่ละประเภทมักจะไม่ขายในร้านเดียวกัน ต้องไปแหล่งหรือร้านที่ขายสินค้านั้นโดยเฉพาะ แต่อาจจะพอหาซื้อของพื้นเมืองที่อาจปะปนอยู่กับสินค้าพื้นเมืองของฝากตามบริเวณสถานที่ท่องเที่ยว แต่ก็ไม่ได้หาซื้อได้ง่ายนัก ดังนั้นหากท่านพบสินค้าที่ต้องการก็ไม่ควรลังเลที่จะซื้อเพราะอาจจะไม่มีโอกาสได้ซื้ออีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางกับคณะทัวร์ซึ่งมีระยะเวลาที่จำกัดในการช็อปปิ้ง หากท่านต้องการซื้อสินค้าชนิดใดเป็นพิเศษ อาจจะสอบถามร้านขายสินค้านั้นๆจากทางโรงแรม หรือหากไปกับคณะทัวร์อาจจะแจ้งความจำนงค์ให้กับไกด์ได้ทราบเผื่อจะสามารถจัดเวลาให้ท่านสามารถซื้อสินค้าที่ท่านและคณะฯต้องการได้

+How to go

การเดินทางไปประเทศโรมาเนียที่สะดวกที่สุดจากกรุงเทพฯ คือการเดินทางด้วยสายการบินเกอร์ติชแอร์ไลน์ไปลงที่สนามบินนานาชาติอาร์ตาเติร์กนครอิสตันบูล และเดินทางต่อจากนครอิสตันบูลไปยังประเทศโรมาเนีย สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thy.com

+Where to Stay

สามารถศึกษาและสำรองที่พักในประเทศโรมาเนียได้ที่ http://www.romaniatourism.com/hotels/index.asp

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552

My Cookbook


 Microwave Made Easy (ชุดอาหารฝรั่งเศส)


@Kitchen เชื่อว่า Microwave Made Easy ชุด อาหารฝรั่งเศส เล่มนี้ จะเปลี่ยนความคิดและความเชื่อเดิมๆ ที่คุณเคยมี และหันมามองเตาไมโครเวฟในฐานะหนึ่งสหายเอกประจำครัว และหากมื้อนี้มีใครเรียกร้องอยากทานอาหารฝรั่งเศสขึ้นมาล่ะก็ มีแค่หนังสือเล่มนี้กับเตาไมโครเวฟก็เพียงพอแล้ว

จากผู้เขียน
ว่ากันว่าทำอาหารด้วยไมโครเวฟนั้นไม่อร่อย และหากจะทำอาหารพิเศษสักจานก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ไงเพราะนึกไม่ออก บางครั้งเวลาจัดงานเลี้ยงที่บ้าน ฉันก็ไม่อยากเหนื่อยทำครัวนานๆ ดังนั้นจึงได้ลองใช้เครื่องไมโครเวฟทำอาหารดู และไม่น่าเชื่อว่าเครื่องครัวที่เคยใช้แค่อุ่นอาหารจะทำอาหารได้อย่างสารพัดเหลือเชื่อค่ะ  และหากลองทำบ่อยครั้งก็จะได้พบสูตรอาหารดีๆเสมอ