Post card from NYC-PA

เวลาไปเที่ยวต่างประเทศทีไร ก็จะมีเพื่อนๆขอให้ส่งโปสการ์ดมาให้หน่อย แต่ไม่มีกี่คนหรอกนะที่ได้รับโปสการ์ดจากฉัน นั่นเป็นเพราะฉันเกลียดการเขียนโปสการ์ด เวลาที่รู้สึกว่า "ต้องเขียน" ฉันก็จะรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะเขียนขึ้นมาซะอย่างนั้น แล้วจะเล่าอะไรให้ฟังดีล่ะ ? เพราะความจริงแล้วการเที่ยวการพักผ่อนในแบบฉบับของฉันมันเรียบง่าย และ ไม่มีอะไรมากมายขนาดที่ต้องเล่าให้ฟังนี่นา ดังนั้นข้อความในโปสการ์ดของฉันจึงมักจะเป็นเรื่องราวที่ขาดๆเกินๆ เร่งรีบ และดูเหมือนไม่ค่อยตั้งใจ คราวนี้ฉันก็เลยอยากจะลองเล่าถึงการไปเที่ยวแบบไม่ตั้งใจประดิดประดอยเขียนดูบ้าง เพราะก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า หากตัวเองจะลองเล่าเรื่องเหมือนการส่งโปสการ์ด มันจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากเขียนส่งงานคอลัมน์ไหมนะ?
NYC
ฉันเริ่มต้นการท่องเที่ยวที่นิวยอร์คก่อน "นิวยอร์ค" มหานครใหญ่ที่ใครหลายๆคนบอกว่าทุกสิ่งอย่างที่ล้วนเป็นสุดยอดของความปรารถนาอยู่ที่นครแห่งนี้ ฉันมองเห็นสิ่งที่ใครต่างหลงใหลได้ปลื้มแต่ฉันกลับไม่ซาบซึ้ง ผู้คนที่จอแจ การจราจรที่แน่นขนัด เสียงรถดับเพลิงดังวี๊ดๆทั้งในยามหลับและตื่นช่างรบกวนโสตประสาทและความสงบได้อย่างเหลือเชื่อ ตึกสูงใหญ่ที่แหงนหน้ามองแล้วรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก
ดังนั้นนิวยอร์คจึงไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวในอุดมคติของฉันสักเท่าไหร่
หากจะให้เขียนโปสการ์ดเล่าเรื่องจากนิวยอร์ค จะให้ฉันเล่าถึงอะไรดีล่ะ ถ้าให้นึกถึงสถานที่ก็คงจะเป็นลานเสก็ตหน้าร็อคกี้เฟลเลอร์ พูดจริงๆ ที่นี่ก็ไม่ได้เป็นสถานที่สวยเก๋อะไร เพียงแต่ว่าเป็นฉากหนึ่งในหนังเรื่อง Serendipity ที่ฉันชอบดูมากๆ อยากจะไปเล่นไอซ์เสก็ตดูเหมือนกัน แต่ก็คงไม่ไหวเพราะอากาศหนาวจับใจ หลังจากได้แอ็คท่าเป็นนางเอกหน้าลานไอซ์เสก็ตพอเป็นพิธีแล้ว นอกจากนั้นฉันก็ไม่ได้ไปไหนมากนัก เพราะเพลียจากการอาการ "jetlag" พอวนรถดูเมืองก็กลับมาหลับอย่างเซื่องซึมที่โรงแรมและเปิดแผ่นดีวีดีละครเกาหลีไปด้วย หลายคนที่อ่านคงจะคิดว่าบ้าหรือเปล่ามาตั้งไกล ทำไมไม่ขยับเขยื้อนกายไปไหน อย่างนี้อยู่บ้านดีกว่ามั๊ง อืม..ก็อาจจะจริง แต่ว่าฉันเป็นคนที่ไม่ฝืนเที่ยวเวลาที่สภาพร่างกายและจิตใจไม่พร้อม เพราะเที่ยวแล้วไม่สนุก
แต่ถึงฉันจะไม่อยากออกไปไหน น้องสาวที่เป็นคนจัดทริปก็ยังสามารถลากตัวฉันออกมาจากถ้ำได้ "ละครเกาหลีน่ะ ดูที่บ้านก็ได้ มานั่งดูอะไรตอนนี้ย่ะ ไปดูละครเวทีกันดีกว่่า" ไหนๆ ก็จัดมาแล้ว ฉันก็เลยได้ไปดูละครเวทีเรื่อง "Phantom of the Opera" หรือ "ผีโรงละคร" ขอสารภาพว่าแอบหลับค่ะ และเหลือบไปมองคนข้างๆก็หลับเหมือนกัน แสดงว่ามันคงไม่สนุกจริงๆ 555 หรือไม่พวกเราก็อาจจะเป็นชนกลุ่มน้อยในโรงละครที่ไร้สุนทรียภาพในการเสพงานศิลปะเหมือนกัน ดูละครเสร็จ ท้องฉันก็เริ่มร้องโวยวายว่า "หิว" เพื่อนของน้องสาวที่เป็นชาวนิวยอร์คเกอร์ที่ไปดูละครด้วยกันก็เลยเสนอว่า "งั้นไปกินข้าวกัน" เราก็นั่งรถไฟใต้ดินไปกินอาหารญี่ปุ่นตามคำขอของฉัน ช่วงนีฉันเริ่มตื่นหลังจากได้คาร์โบไฮเครตและโปรตีนเข้าสู่ร่างกาย และ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างสาเก และ โมฮิโต้สาเก สักเล็กน้อยให้พอคึกคัก ตอนแรกก็ว่าจะไปบาร์ขนมกันต่อ แต่บังเอิญแฟนสาวของพ่อหนุ่มนิวยอร์คเกอร์เกิด emotional Crisis เราก็เลยแยกย้ายกันไปตามระเบียบ ๆ
"เรื่องเที่ยวเรื่องเล็ก แต่เรื่่องกินเรื่องใหญ่" คตินี้สืบทอดมาจากต้นตระกูลเจ้าคุณปู่ เราไม่ได้แสวงหาร้านอาหารที่หรูเริ่ด แต่เราแสวงหาร้านอาหารที่อร่อยเป็นหลัก มีคนแนะนำว่าเสต็กเนื้อทอดร้านหนึ่งในเขต Brooklyn อร่อยมาก ร้านเสต็กร้านนี้มีชื่อว่า "Peter Luger Steak House" เค้าโฆษณาตัวเองว่าร้านของข้าน่ะโด่งดังมากว่า 100 ปี และถือได้ว่าเป็นร้านอันดับหนึ่งในนิวยอร์คมากว่า 24 ปีแล้ว เมื่อก้าวเข้าไปในร้านจะเห็นป้ายแสดงรางวัลเกียรติคุณยาวเต็มฝาผนัง เนื้อที่นี่ถูกเลือกอย่างพิถีพิถัน ส่วนที่ใช้ทำเสต็กเรียกว่า "Short Loin" เป็นส่วนหลังของวัว เนื้อวัวของที่นี่จะมีสีชมพูเข้ม และมีไขมันหรือ marble กระจายอยู่ทั่วชิ้น คิดดูแล้วกันนะคะว่าจะนุ่มลิ้นและละลายในปากได้สักขนาดไหน ปกติฉันเป็นคนระวังเรื่องการกิน เพราะยอมรับว่ากลัวอ้วนค่ะ ยิ่งเนื้อที่มันๆแล้ว ก็ควรหลีกเลี่ยง แต่งานนี้สู้ตาย เอาเป็นว่าโต๊ะของเราสั่งเสต็กกันหมดยกเว้นแม่ที่ไม่กินเนื้อ ที่นี่นอกจากเนื้อสเต็กแล้วก็ซอสเสต็กสูตรต้นตำรับที่เป็นเกรวี่รสชาติออกหวานๆเปรี้ยวๆ เราสรุปกันว่า อร่อยจริงคะ เพราะคุณภาพเนื้อดีเยี่ยม อืม แต่รสชาติมันคุ้นๆเหมือนสลัดสเต็กเนื้อย่างตำรับสีลมภัตตาคารยังไงก็ไม่รู้ บางทีเจ้าของร้านสีลมภัตตาคารอาจจะได้แรงบันดาลใจจากร้านเสต็กเจ้านี้ก็ได้

PA
หลังจากงงงวยกับการท่องเที่ยวอยู่ในนิวยอร์คสามวันสองคืนเราก็อพยพกลับไปที่่เมืองฟิลลาเดเฟีย (Philadephia) ซึ่งเป็นเมืองที่น้องสาวของฉันเรียนปริญญาโทอยู่ ที่เราหอบสังขารกัันมาไกลถึงอเมริกาก็เพื่อมาเยี่ยมน้องสาวของฉันนี่แหละค่ะ ที่เมืองนี้มีอะไรดีบ้าง เมืองฟิลลาเดเฟียถือได้ว่าเป็นเมืองเก่าที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของอเมริกาเลยทีเดียว เพราะว่าเคยเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของประเทศอเมริกาล่ะ สัญลักษณ์ของเมืองก็คือ ระฆังที่มีรอยแตกร้าว (Liberty Bell) ถ้าไม่ร้าวก็เป็นของปลอมนะคะ เจ้าระฆังร้าวเนี่ยะถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอิสรภาพ
"Proclaim LIBERTY throughout all the Land unto all the Inhabitants thereof Lev. XXV X
By Order of the ASSEMBLY of the Province of PENSYLVANIA for the State House in Philada
Pass and Stow
Philad
MDCCLIII"
หลังจากตีระฆังนี้ถูกตีดังแก็ง มันก็แตกซะงั้น กลายเป็นระฆังที่มี Gimmic ไปได้โดยไม่ต้องตั้งใจ นอกจากนี้แล้วมีอะไรที่น่าสนใจเกี่ยวกับเมืองนี้อีกเหรอคะ ก็คงเป็นเรื่องมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอย่าง Wharton Business School ที่คุณมหาเศรษฐีอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ จบมา ขอคุยหน่อยว่าน้องสาวเรียนที่นี่ค่ะ พี่สาวอย่างฉันเลยมีบุญได้ไปเที่ยวที่นี่ และได้เคยแอบแฝงกายไปเข้าห้องเรียนกับเค้ามาด้วย อยากถ่ายรูปห้องเรียนมาฝากให้ชมกันจัง แต่น้องสาวบอกว่าอย่าทำตัวบ้านนอกตื่นกรุงได้ไหม ฉันก็เลยอดถ่าย (เฮ้อ ไม่รู้ใครเป็นพี่เป็นน้องถึงต้องเชื่อฟังคุณน้องสาวไปซะทุกเรื่อง) ขอบอกว่านอกจากมหาวิทยาลัยจะคัดแต่สุดยอดของผู้มีมันสมองแล้ว สาวๆทั้งหลายจงฟังทางนี้ ขอประกาศให้รู้ทั่วกันว่า หนุ่มๆที่นี่นอกจากจะฉลาดแล้ว เค้าไม่เนิร์ดกันนะคะ หล่อเริ่ดและคุยสนุกมากๆ ถ้ารู้อย่างนี้จะตั้งใจเรียนตั้งแต่เด็กๆ และจะไม่รีบมีแฟนเลยล่ะ 5555
นอกจากมหาวิทยาลัยดังและหนุ่มหล่อที่ควรค่าแก่จับจองเป็นเจ้าของแล้ว ที่นี่ก็เป็นเมืองที่มีร้านอาหารและบาร์สุดยอดหลายแห่ง ที่มีชื่อเสียงมากคือ ร้านอาหารในกลุ่ม Starr Restaurant ที่มีถึง 12 แห่งในฟิลลี่ 2 แห่งในนิวยอร์ค 4 แห่งในแอตแลนติคซิตี้ และ ฯลฯ แต่ละร้านจะมีสไตล์และรูปแบบอาหารที่ต่างกัน
ร้านโปรดของฉันคือ "Alma de Cuba" ซึ่่งเป็นร้านอาหารกึ่งผับแนวคิวบา ร้านนี้แน่นตลอดถึงขั้นต้องโทรจองนานๆ อาหารจานเด็ดของที่นี่คือ "Duck Raspado" อกเป็ดอบกับน้ำทับทิม เสิร์ฟพร้อมข้าวกล้องอบกรอบๆที่คลุกกับถั่วบดรสเผ็ด ลูกเกดเชอรรี่ และไพน์นัท แค่ส่วนประกอบก็เริ่ดแล้วล่ะค่ะ แต่สำหรับเครื่องดื่มสุดโปรดสำหรับสาวผู้หลงใหลการดื่ม ต้องยกให้ "Classic Mojito" ที่มีดีกรีรัมจัดจ้าน ผสมกับน้ำตาลทรายแดง และน้ำมะนาวขมๆ ใบมินต์ และอ้อยสดๆหวานเจี๊ยบให้เคี้ยวเล่น เมาเร็วดีค่ะ แก้วเดียวเปรี้ยวได้ทั้งคืนจริงๆ 55555
นอกจากร้านนี้แล้วก็มีร้าน "Continental Martini Bar" ที่มีข้าวอิตาเลี่ยนอย่าง "Seared Tuna :: Sesame and Black Pepper Crusted (Served Rare) with Mushroom Risotto ข้าวกรุบกำลังได้ที่ แล้วปลาทูน่าที่ดิบๆก็ไม่คาวด้วยค่ะ
จริงๆแล้วยังมีร้านอาหารดีๆอีกหลายแห่งที่ฉันได้ไปรับประทานค่ะ แต่ขออุบไว้ก่อน เพราะอยากรวมเรื่องเล่าให้ฟัง เร็วๆนี้ฉันจะต้องไปที่ฟิลลี่อีกครั้ง รับรองว่าจะรีวิวร้านอาหารเริ่ดให้ได้อิ่มตากันทีเดียว รวมทั้งร้านอาหารที่ถือได้ว่าดีสุดในเมืองนี้ที่มิชิลินสตาร์ต้องยกนิ้วให้ อดใจรอกันหน่อยนะคะ
กินอิ่มกันแล้วเราไปเดินเล่นสวนพฤกษชาติกันหน่อยดีไหมคะ แม่ของฉันเป็นคนที่รักต้นไม้มากค่ะ ถ้าได้ชื่อว่าต้นไม้แล้วล่ะก็ ต่อให้ไกลแสนไกล แม่จะดั้งด้นไปหามันราวกับเป็นขุมสมบัติของอินเดียนน่าโจนส์ เราก็เลยไปเดินเล่นที่สวนพฤกษชาติ "Long Wood Garden" ที่อยู่บริเวณชานเมืองฟิลลี่ พันธุ์พืชและดอกไม้ที่นี่จะหมุนเปลี่ยนกันไปตามฤดูกาล ช่วงที่เราไป แม่บอกว่าดอกไม้ที่นี่อิมพอร์ตมาจากเมืองไทยทั้งนั้นแหละ ขนาดมาจากเมืองไทย แม่ยังตื่นเต้นเลย ไปดูดอกไม้งามยาวหน้าหนาวด้วยกันดีกว่าค่ะ

ดอกไม้สีเหลืองนี่สามารถเห็นได้ทั่วไป น้องสาวชั้นบอกว่า "กล้ามากนะ ที่เอาใบหน้าของหล่อนไปทาบกับดอกไม้งามๆ 555"
แหม แล้วทีคุณน้องล่ะ ก็เอาหน้าบานๆไปเข่งสวยกับดอกไม้เหมือนกัน เอาเป็นว่าเราสองคนพี่น้องก็ถ่ายรูปกันแบบกล้าสวยไม่เกรงใจดอกไม้กันเลย อิอิ เอ๋ หารูปสวยๆของคุณน้องไม่เจอ งั้นเอารูปคุณน้องกินใบไม้ไปก่อนแล้วกัน อิอิ
ฉันก็เดินไปเรื่อยๆ ก็ไปสะดุดตากับสาวน้อยน่ารักที่กำลังชมสวน ชั้นแอบได้ยินว่า สาวน้อยคุยกับแม่่ว่า
"คุนแม่ขา หนูไม่อยากกลับอ่ะ ขอหนูเดินเริ่ดๆเชิดๆในสวนอีกนิดได้ไหม?"
"เอ๊ะ คุณลูกขา แม่บอกไม่รู้ฟัง สวนมันจะปิดแล้ว ไว้แม่พามาใหม่"
ฉันชอบน้องคนนี่้จริงๆ รักต้นไม้แต่เด็ก ถ้าเด็กทั่วโลกเป็นแบบนี้เราก็ไม่ต้องห่วงเรื่องภาวะโลกร้อนอีกต่อไป
สวนนี่สวยงามจริงๆแล้วก็ใหญ่จริงค่ะ ที่นี่เค้าจะมีอีเวนต์กันเนืองๆ เช่นงานจิบไวน์และแขมเปญ ฟังดนตรีแล้วชมสวนไปด้วย งานคอนเสิร์ต งานแต่งงาน ฯลฯ เห็นแล้วอยากจัดงานแต่งงานที่นี่จริงๆค่ะ ฉันบอกแม่ว่าฉันตัดสินใจแล้วว่าหากแต่งงาน ฉัันจะมาจัดงานแต่งที่นี่ แม่ก็เลยทำสายตาว่างเปล่าแล้วถามว่า "แต่งกับใครเหรอคุณลูก แม่ไม่เห็นแวว คงจะมีแต่หนุ่มตำบล Longwood และวงศาคณาญาติที่มางานนี้ได้" ก็จริงนะคะ 555 เอาเป็นว่าชอบแล้วกัน ใครที่กระเป๋าสตังค์หนักๆ อยากได้งานแต่งฯ สวยๆเริ่ดๆ ก็เชิญขนเงินดอลล่าร์มาที่นี่ได้เลยค่ะ
เราเดินจนถึงเวลาเขาไล่กลับเลยล่ะค่ะ เอาเป็นว่าฉันขอจบเรื่องราวโปสการ์เพียงเท่านี้ เรื่องบางเรื่องก็ควรเก็บเป็นความทรงจำส่วนตัวใช่ไหมคะ ความสุขในการเที่ยวของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ของฉันก็แบบนี้คงเหมือนเรื่องราวที่ขาดตอนและความสมบูรณ์ในโปสการ์ดนั่นแหละค่ะ และนี่ก็คือความสวยงามที่ฉันค้นพบในการท่องเที่ยวในแบบของฉันเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น