วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555




พอดีวันเสาร์นี้แตมจะไปเป็นวิทยากรสอนทำอาหารให้กับลูกค้าบัตรเครดิต KTC ค่ะเลยมีโอกาสได้เตรียมสูตรอาหารและตำราไปสอนคุณลูกศิษย์ อาหารจานนี้แตมทำขายที่ร้านอาหารของแตมเองด้วยค่ะ อยากให้ทุกคนได้ลองทำกันเพราะง่ายและอร่อยมากจริงๆนะคะ ^_^

























Pan-fried Snow Fish in Teriyaki Sauce served with Sushi Rice & Sauté Spinach

ปลาหิมะย่างซอสเทอริยากิเสิร์ฟพร้อมข้าวซูชิและผักโขมผัดเนย

ปลาหิมะย่าง (Pan-fried Snow Fish)
ส่วนประกอบสำหรับ 1 ที่
ปลาหิมะ fillet แล่หนังออก 1 ชิ้น
(น้ำหนักชิ้นละประมาณ 150 กรัม)
เกลือและพริกไทยป่น เพื่อปรุงรส
แป้งอเนกประสงค์ 1/4 ถ้วย
เนยจืด 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1.ปรุงรสชิ้นปลาด้วยเกลือและพริกไทยให้ทั่วทั้งสองด้าน แล้วเคลือบชิ้นปลาด้วยแป้งอเนกประสงค์ เขย่าเพื่อเอาเศษแป้งบางส่วนออก แล้วนำไปทอดในกระทะที่ละลายเนยจืดไว้ด้วยความร้อนปานกลาง-สูง
2.กลับด้านชิ้นปลาเมื่อเป็นสีเหลืองทองจนครบทั้งสี่ด้าน
3.นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียสประมาณ 2 นาที จนสุก

เทอริยากิซอส (Teriyaki Sauce)
ส่วนประกอบสำหรับ 1-2 ที่
ซอสถั่วเหลือง ¼ ถ้วย
น้ำสะอาด 1 ถ้วย
ผงกระเทียม ¼ ช้อนชา
น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเย็น ¼ ถ้วย
วิธีทำ
1.ผสมส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันในหม้อที่เริ่มต้มจนร้อน ยกเว้นแป้งข้าวโพดและน้ำสะอาด ¼ ถ้วย
2.ผสมแป้งข้าวโพดและน้ำสะอาดในถ้วยคนจนละลาย แล้วเติมลงไปในซอสที่เคี่ยวในข้อที่ 1
3.เคี่ยวซอสจนได้ความเหนียวในระดับที่ต้องการ เติมน้ำเพิ่มได้หากต้องการลดความข้นของซอส เมื่อซอสเหนียวได้ที่ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย






เครื่องเคียง
1.ผักโขมผัดกระเทียม (Sauté Spinach with Garlic and Onion)
ส่วนประกอบสำหรับ 1-2 ที่
น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
ผักโขมต้มและบิดน้ำจนแห้งสนิท 1 ถ้วย
หอมใหญ่สับละเอียด 1 ช้อนชา
กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนชา
เกลือและพริกไทยป่น เพื่อปรุงรส
วิธีทำ
1.ตั้งน้ำมันมะกอกในกะทะจนร้อนจัดเกือบจะควันขึ้น แล้วจึงผัดหอมใหญ่สับและกระเทียมสับจนหอม
2.ผัดผักโขมประมาณ 1-2 นาทีจนเป็นสีเขียวเข้ม ปรุงรสด้วยเกลือพริกไทย


2.เห็ดแชมปิยองผัดยัดไส้มะเขือเทศอบ (Baked Tomato Stuffed with Saute Mushroom)
ส่วนประกอบสำหรับ 1 ที่
มะเขือเทศลูกใหญ่ 1 ผล
เห็ดแชมปิยองสับหยาบๆ ½ ถ้วย
เนยจืด 1 ช้อนโต๊ะ
แป้งอเนกประสงค์ 1 ช้อนชา
วิปปิ้งครีม 60 มิลลิลิตร
พาสลีย์สดสับ 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1.ผ่ามะเขือเทศให้เป็นสองซีก ขูดเอาไส้และเม็ดออก แต่ไม่ต้องลอกเปลือก โรยด้วยเกลือบางๆ วางบนกระดาษทิชชูเนื้อหนาเพื่อซับความชื้นทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที
2. ผัดเห็ดแชมปิยองสับหยาบกับเนยจนแห้ง แล้วเติมแป้งอเนกประสงค์และครีมจนเดือด คนประมาณ 2 นาทีจนเหนียว
3.นำออกจากเตาโรยด้วยพาสลีย์สับ แล้วตักใส่ในถ้วยมะเขือเทศ นำเข้าอบในเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียสประมาณ 5 นาที

3.ข้าวซูชิ (Sushi rice)
ส่วนประกอบสำหรับ 4-6 ที่
ข้าวญี่ปุ่น 3 ถ้วย
น้ำสะอาด 3 ¼ ถ้วย
Rice Vinegar 1/3 ถ้วย
น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น เพื่อปรุงรส
วิธีทำ
1.ซาวข้าวจนกระทั่งไม่มีน้ำสีขุ่น และทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
2.นำข้าวไปหุงและเติมน้ำสะอาดลงไป ปล่อยให้ข้าวแช่น้ำประมาณ 30 นาที แล้วค่อยหุง เมื่อข้าวสุกให้ปล่อยให้ระอุในหม้ออีกราวๆ 15 นาที
3.ระหว่างนั้นให้เตรียมผสมน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำตาลทรายและเกลือเคี่ยวในกะทะด้วยความร้อนต่ำและจนกระทั่งน้ำตาลละลาย แล้วทิ้งให้เย็นสนิท
4.แผ่ข้าวที่หุงเสร็จไล่ความร้อนในอ่างผสมใบใหญ่ แล้วเติมส่วนผสมของน้ำส้มสายชูในข้อ 3 ลงไปผสมและคลุกเคล้าอย่างรวดเร็ว อย่าบี้ข้าวให้ผสมอย่างเบามือ ทิ้งให้เย็นเพื่อไล่ความร้อนออกจากข้าว อาจใช้พัดลมช่วยเป่าในการผสมข้าวจะช่วยให้ข้าวมีความเงาและเหมาะจะใช้เป็นข้าวซูชิได้ทันที

อาจดูแล้วซับซ้อนยุ่งยากไปนิด แต่จริงๆแล้วไม่ยากเลยค่ะ อยากให้ลองไปทำดูกันนะคะ ^_^

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

Red Velvet Cupcake



วันเสาร์นี้แตมจะได้ไปสอน Red Velvet Cupcake ค่ะ เลยเอาสูตรมาแบ่งปันกันนะคะ ทำไม่ยาก แล้วก็อร่อยด้วยค่ะ



เรดเวลเว็ทคัพเค้ก (Red Velvet Cupcakes)





ส่วนประกอบสำหรับคัพเค้ก 10-12 ชิ้น


แป้งเค้ก 125 กรัม
เกลือ ¼ ช้อนชา
ผงโกโก้ 1 ช้อนโต๊ะ
เนยจืดอุณหภูมิห้อง 57 กรัม
น้ำตาลทรายละเอียด 150 กรัม
ไข่ 1 ฟอง
กลิ่นวนิลลา ½ ช้อนชา
บัตเตอร์มิลล์ ½ ถ้วย
สีผสมอาหารสีแดง 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชู white distilled ½ ช้อนชา
เบคกิ้งโซดา ½ ช้อนชา

วิธีทำ
1. ตั้งอุณหภูมิเตาอบไว้ที่ 180 องศาเซลเซียส ร่อนแป้ง เกลือ ผงโกโก้ เบคกิ้งโซดา เข้าด้วยกันแล้วพักไว้
2.ตีเนยกับน้ำตาลให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันและมีสีเหลืองนวล แล้วจึงตีไข่ลงไปผสมตามด้วยกลิ่นวนิลลา
3.ผสมบัตเตอร์มิลล์ น้ำส้มสายชู กับสีผสมอาหารให้เข้ากัน แล้วผสมในส่วนผสมของเนย (ในข้อ 2)สลับกับส่วนผสมของแป้ง (ในข้อ 1) ผสมจนเข้ากันได้ดี
4.ตักแบ่งส่วนผสมเท่าๆกันใส่ถ้วยคัพเค้กที่วางเรียงในพิมพ์แล้วปริมาณ 2 ใน 3 ของถ้วย นำเข้าอบประมาณ 18-20 หรือจนสุก พักทิ้งไว้ในพิมพ์ประมาณ 10 นาที แล้วจึงนำออกมาพักบนตะแกรงจนเย็นสนิทแล้วจึงบีบหน้าขนม

ครีมชีสฟรอสติ้ง (Cream Cheese Frosting)


ส่วนประกอบ

ครีมชีสทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง 225 กรัม
เนยจืดที่อุณหภูมิห้อง 4 ช้อนโต๊ะ
ไอซิ่งชูการ์ 4 ถ้วย
กลิ่นวนิลลา 1 ช้อนชา

วิธีทำ
ตีครีมชีสกับเนยผสมเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วค่อยผสมไอซิ่งชูการ์ทยอยเติมลงไปทีละนิดจนเข้ากัน แล้วจึงเติมกลิ่นวนิลลา ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกันแล้วจึงใส่ถุงบีบที่ใส่หัวบีบรูปดาว บีบวนบนคัพเค้กแต่ละชิ้น และตกแต่งด้วยน้ำตาลไอซิ่ง


วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

Baked Egg with Spinach & Ham


วันนี้แตมขอเสนอสูตรบรันช์ Baked Egg with Spinach & Ham ที่ทำง่ายๆได้ที่บ้านค่ะ หากใครที่ชอบผักโขมอบชีส ก็คงจะชอบเมนูนี้ด้วยเช่นกัน เพราะเป็นเมนูที่นำไข่มาอบกับผักโขมผัด แฮม และชีสหอมๆอย่างพาเมซานและมอสซาเรลล่าชีส ซึ่งส่วนประกอบเหล่านี้ หลายท่านที่ชอบทำอาหารน่าจะพอมีติดครัวอยู่บ้างแล้ว หากเตรียมของพร้อมแล้วก็ลุยกันเลยค่ะ

Baked Egg with Spinach & Ham




ส่วนประกอบ
ผักโขมสับใบหยาบๆ ต้มและบิดให้แห้ง 200 กรัม
หอมใหญ่ขนาดกลางสับละเอียด ¼ ถ้วย
เนยจืดสำหรับผัด
กระเทียมสับ ½ ช้อนโต๊ะ
แฮมแผ่นหั่นเป็นชิ้นเต๋า 2 แผ่น
วิปปิ้งครีม 1/3 ถ้วย
เกลือและพริกไทยดำบดหยาบเพื่อปรุงรส
ไข่ฟองใหญ่ 4 ฟอง
พาเมซานชีสขูด 1/3 ถ้วย
มอสซาเรลล่าชีสขูด ½ ถ้วย

วิธีทำ
1 ตั้งอุณหภูมิเตาอบไว้ที่ 180 องศาเซลเซียส ผัดกระเทียมและหอมใหญกับเนยในกระทะด้วยความร้อนปานกลางจนนิ่ม แล้วจึงเติมผักโขมที่ต้มแล้วบิดน้ำจนหมาดลงไปผัดเช้ากันจนน้ำที่ไหลที่ออกเหือดไปหมด ใส่แฮมลงไปผัด เติมครีม ใส่เกลือและพริกไทยเพื่อปรุงรส

2. เติมผักโขมที่ผัดแล้วแบ่งใส่ถ้วยเท่าๆกันสี่ถ้วย แหวกผักโขมแต่ถ้วยตรงกลางให้โหว่ ตอกไข่ลงไปตรงกลางอย่างละใบ โรยด้ายบนไข่ด้วยพาเมซานชีส และมอสซาเรลล่าตามลำดับ นำเข้าอบประมาณ 8-12 นาทีจนไข่ขาวอยู่ตัว

3.อาจจะเสิร์ฟพร้อมขนมปังกระเทียมเบค่อนที่ทำได้ง่ายๆด้วยการเทเนยจืดที่ผสมกับกระเทียมสับและเบค่อนที่หั่นเป็นชิ้นและนำเข้าอบจนเหลืองกรอบ เพียงเท่านี้ก็ได้ brunch ที่แสนง่ายดายแล้วค่ะ

ขอให้มีความสุขกับ sunday brunch กันนะคะ ^_^

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

My Sunday Brunch :: Cafe tartine


ตามสัญญาที่ได้บอกไว้เมื่อวานนะคะว่าจะพาทุกคนไปกิน Bruch ที่ร้าน café tartine นะคะ คนที่เป็นต้นคิดจะกิน brunch สักแห่งก็คือน้องสาวของแตมเองคะ วันนี้เราไปกันสี่สาว มีเพื่อนของติมไปด้วยอีกสองคนคือ ออม และอิ๊บ การที่ไปกิน brunch ในวันนั้นทำให้ฉันนึกถึงตอนที่เคยไปเยี่ยมน้องออมตอนที่เรียนหนังสืออยู่ที่แอลเอ ที่นั่นมีร้าน brunch อร่อยๆและบรรยากาศดีๆอยู่หลายร้าน เราตื่นกันสายๆ แล้วก็เดินทอดน่องท่ามกลางแสงแดดอุ่น สักกาแฟร้อนๆมาจิบกันก่อนก่อนที่อาหารจานโตจะถูกนำเสิร์ฟตรงหน้า เราก็นั่งสบายๆ พักดูอาหารตาที่เป็นหนุ่มแคลิฟอร์เนียหน้าตาดี ผมสีทองเป็นประกายโต๊ะข้างๆ

ร้านที่อยู่ในความทรงจำคือร้าน The urth Caffe ที่มีจุดเด่นคือ เป็นร้านกาแฟออแกนิคและเสิร์ฟชาที่เก็บด้วยมืออย่างพิถีพิถัน เป็นร้านน่ารักที่เสิร์ฟ brunch ด้วยแล้วก็มีของขายกระจุกกระจิกน่ารัก ร้านเป็นแบบ farmhouse ให้บรรยากาศแบบโฮมมี่ ส่วนอีกร้านก็คือ The Griddle ที่มีแพนเค้ก Red Velvet ชื่อดังที่ตั้งอยู่ที่ถนน sunset boulevard คราวนี้เมื่อได้มีโอกาสไปกิน brunch กับน้องออมอีกครั้ง เราจึงเลือกร้านที่นั่งสบายๆเมื่อกับที่เราเคยด้วยกันจึงลงเอยที่ร้าน café Tartine นี่เองค่ะ

ร้าน café Tartine เป็นร้านเล็กๆที่ตั้งอยู่ข้างๆร้าน Hyde and Seek อาคารเอธินีเรสซิเดนซ์ ซอยร่วมฤดี ตอนที่เราไปถึงก็ประมาณสิบเอ็ดโมงกว่าๆใกล้เที่ยงแล้วล่ะค่ะ วันนี้แดดเปรี้ยงเลยทีเดียว แต่ว่าก็มีฝรั่งออกมานั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์ตากแดดอยู่ข้างนอก แต่เราเป็นสาวกลัวแดด ไม่อยากผิวเสียเลยเลือกเข้าไปนั่งด้านใน ที่มีแต่ชาวต่างชาติกำลังนั่งรับประทานอาหาร ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆมีโต๊ะแค่ 6-7 โต๊ะเองค่ะ บรรยากาศในร้านก็สบายๆ ด้านหน้าทำเป็นบาร์มีพวกขนมปัง เครื่องดื่ม พนักงานก็ทำกันตรงนั้น ส่วนด้านหลังก็เป็นครัวเล็กๆค่ะ
เราสั่งอาหารเช้ามาแชร์กันสี่อย่างใช้เวลารอนานทีเดียว -_-“ แต่ในฐานะที่ทำร้านอาหารก็พยายามเข้าใจนะคะ ตั้งใจแล้วว่าจะมานั่งละเลียดชิลด์ๆก็ไม่ควรใจร้อน แล้วในไม่ช้าอาหารก็มาเสิร์ฟพร้อมๆกันมี Sandwich Pate cornichon หรือแซนด์วิชพาเต้กับแตงกวาดองกรอบๆ Crepe Ham, Cheese & Bechamel เครปนุ่มๆที่ไส้ข้างในเป็นแฮม ชีส และชุ่มฉ่ำด้วยซอสเบชาเมล Salad de Saumon สลัดผักรวมที่ใส่หอมแดง เคเปอร์ แล้วก็ไข่ต้ม เสิร์ฟพร้อมน้ำสลัดใสหอมแดง แล้วก็ omelette ไส้แฮม เห็ด และมะเขือเทศ เสิร์ฟพร้อมกับมันฝรั่งอบการ์แตง อาหารมาเราก็ตั้งหน้าตั้งกิน อาหารก็รสชาติกลางๆ ใช้ได้เลยค่ะ



Omelette





Sandwich Pate cornichon



Salad de Saumon


Crepe Ham,Cheese and Bechamel

ช่วงประมาณเที่ยงกว่าๆ คนก็เริ่มแน่นร้านค่ะ บังเอิญว่าโต๊ะของเรานั่งอยู่ใกล้กับครัวพอดีก็เลยเหมือนกับถูกรมควันไปด้วยในตัว ถ้าใครจะมารับประทานอาหารที่ร้านนี้ขอแนะนำว่าอย่านั่งใกล้ตรงครัวนะคะ หาที่นั่งด้านในหน่อยจะดีมากเลยค่ะ แต่โดยรวมแล้วอาหารเช้ามื้อสายมื้อนี้ก็เป็นมื้อที่ดีมื้อหนึ่งเลยทีเดียวค่ะ ไว้เดี๋ยวคราวหน้าจะลองไปหาที่อื่นๆไปลองรับประทานอีก

ครั้งต่อไปแตมจะลงสูตร brunch แสนง่ายให้ลองทำกันดูนะคะ ^_^




























วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

Time for Brunch


กระแสการรับประทานอาหารเช้ามื้อสายใกล้ๆเที่ยงหรือที่ภาษาเรียกว่า Brunch นั้นเริ่มเป็นที่นิยมกันมากขึ้น เชื่อว่าหลายคนคงอยากทราบที่มาของคำว่า Brunch ว่ามีที่มาอย่างไรใช่ไหมคะ จะ Breakfast ก็ไม่ใช่ จะ Lunch ก็ไม่เชิง อันที่จริงแล้ว Brunch (บรันช์) คือมื้ออาหารที่รวมอาหารเช้าและอาหารกลางวันเข้าไว้ด้วยกัน คำว่าบรันช์นั้น เริ่มใช้ครั้งแรกในนิตยสาร Punch และเมื่อคำนี้ถูกนำมาใช้ในหนังสือพิมพ์ Hunter’s weekly ประเทศอังกฤษราวปีค.ศ 1896 คำว่า Brunch ก็ได้กลายเป็นคำแสลงที่ใช้กันมากในอเมริกาและแคนาดาค่ะ แต่บางคนก็แย้งว่าผู้ที่คิดคำนี้ก็คือ Frank Ward O’ Malley นักข่าวประจำหนังสือพิมพ์ New York Morning Sun ผู้ที่นิยมรับประทานอาหารช่วงสายๆ


เวลาไหนคือเวลาในการรับประทาน brunch กันแน่นะ หากมื้ออาหารเริ่มต้นก่อนเวลา 10 โมงเช้า นั่นยังถือว่าเป็นเวลาของอาหารเช้าอยู่ค่ะ แต่หากเป็นช่วงเวลาระหว่าง 11 โมงเช้าถึงบ่ายโมง ซึ่งใกล้ๆและคาบเกี่ยวกับมื้อกลางวัน นั่นล่ะคือเวลาที่เราจะเรียกว่า เวลาการรับประทาน brunch อย่างแท้จริง โดยมากบรันช์มักจะนิยมรับประทานกันในอาทิตย์และวันหยุดสุดสัปดาห์ อาจจะเป็นลักษณะบุฟเฟต์ที่เราเลือกตักอาหารเอง หรือว่าจะสั่งจากเมนูก็ได้เช่นกันค่ะ

เมนูที่เรานิยมรับประทานกันนั้นก็จะมีไข่ ไส้กรอก เบค่อน แฮม ผลไม้ เพสตรี้ แพนเค้ก และเมนูอื่นๆที่นิยมรับประทานกันช่วงมื้อเช้า นอกจากนี้ก็ยังมีอาหารอื่นๆที่เรากินระหว่างวันกันด้วยนะคะ บุฟเฟต์นั้นอาจจะรวมไปถึง quiche เนื้อและไก่ย่าง อาหารทะเลแช่เย็นอย่างกุ้ง ปลารมควัน สลัด ซุป อาหารจานผัก ขนมปังชนิดต่างๆ รวมไปถึงขนมปังนานาชนิดค่t ส่วนเครื่องดื่มค็อกเทลที่นิยมกันมากก็ได้แก่ เบลลินี่ (ที่เมื่อวานได้ลงสูตรไปให้แล้วค่ะ) เช่นเดียวกับบลัดดี้ แมรี่ที่ได้รับความนิยมมากเช่นกัน อาหารตะวันออกของเราที่ถือได้ว่าเป็น brunch ก็คือ ติ่มซ่ำที่มีให้บริการในร้านอาหารจีนทั่วโลกอย่างไรละคะ ติ่มซำมักจะประกอบไปด้วยซาลาเปาไส้ต่างๆ เกี๊ยวยัดไส้ และอาหารคาวหวานทั้งแบบนึ่ง ทอด หรืออบ นั่นเอง

ที่มาอย่างสั้นๆของ Brunch ก็เป็นเช่นนี้ค่ะ เดี๋ยววันพรุ่งนี้แตมจะพาไปเที่ยวร้าน Café Tartine ที่เพิ่งไปกิน brunch มานะคะ ^_^

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

Let’s Drink Bellini



ฝนเพิ่งจะหยุดตก เริ่มรู้สึกร้อนๆหนาวอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียวค่ะ แตมก็เลยนึกถึงเครื่องดื่มค็อกเทลแก้วโปรดขึ้นมา ซึ่งมันก็คือ เบลลินี่ Bellini นี่เอง เบลินี่คือเครื่องดื่มที่มีที่มาจากเวนิส ประเทศอิตาลี ค่ะ มีส่วนผสมหลักสองอย่างคือ สปาร์กกิ้งไวน์ ซึ่งตามต้นตำรับจะใช้ Prosecco ในการทำผสมกับลูกพีชบด นิยมดื่มกันเมื่อมีการเฉลิมฉลอง เป็นเครื่องดื่มที่นิยมมากที่สุดชนิดหนึ่งของชาวอิตาเลียนเขาละค่ะ


หากอยากจะให้มีรสชาตที่เข้มข้นขึ้นมาอาจจะใช้แชมเปญของฝรั่งเศสก็ได้นะคะเพราะเข้ากันได้ดีกับรสชาติเบาของลูกพีช สำหรับคนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก็อาจจะเลือกใช้น้ำผลไม้รสซ่าแทนอย่าง sparkling cider แทนก็ได้นะคะ Bellini เป็นเครื่องดื่มที่ทำได้ง่ายๆ ที่ให้ความสดชื่นและพิเศษทุกครั้งที่ดื่ม หากไม่เชื่อคงต้องลองพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วล่ะค่ะ




Bellini Cocktail



พีชกระป๋อง 4 ชิ้น
สปาร์กกิ้งไวน์หรือแชมเปญเย็นๆ 1 ขวด

วิธีทำ
1.ปั่นลูกพีชในเครื่องบดผสมอาหารขนาดเล็กจนได้เนื้อเนียน สามารถทำได้ล่วงหน้าและเก็บไว้ในตู้เย็นนะคะ
2.ตักลูกพีชให้ได้ปริมาณ ½ ช้อนโต๊ะในแก้วแชมเปญแช่เย็นที่เตรียมไว้ แล้วค่อนรินสปาร์กกิ้งไว้ลงไป ควรที่จะมีปริมาณของพีชบดในประมาณหนึ่งในสามของปริมาณสปาร์กกิ้งไวน์นะคะ

Bellini เหมาะอย่างยิ่งที่เสิร์ฟก่อนมื้ออาหารค่ำพร้อมคาเวียร์ ซึ่งจะช่วยยืดเวลาในการจิบก่อนที่ดื่มแก้วที่สองต่อไปค่ะ 55+

Grilled Sea bass served with Bacon & Red Bean Fried Rice

วันนี้ขอเสนอสูตรอาหารที่ออกแนวสุขภาพนะคะ เพราะหลังจากวันหยุดเรากินเที่ยวกันอย่างหนักจนกระเพาะน้อยๆของเราต้องรับบทหนักมาหลายวัน ถึงเวลาที่กระเพาะของเราจะต้องได้ใช้ช่วงเวลา holiday บ้างแล้ว ดังนั้นวันนี้เรามาอาหารที่เบาๆและแคลอรี่ไม่สูงนัก แถมยังช่วยปรนเปรอร่างกายของเราด้วย มาลองดูทำกันดูนะคะ ไม่ยากเลยจริงๆ เมนูวันนี้คือ Grilled Sea bass served with Bacon & Red Bean Fried Rice ค่ะ



Grilled Sea bass served with Bacon & Red Bean Fried Rice


ปลากะพงย่างเสิร์ฟพร้อมข้าวผัดเบค่อนและถั่วแดง




Grilled Sea bass

ปลากระพงย่าง

สำหรับ 6 ที่

ส่วนประกอบ


ปลากระพงฟิลเล 6 ชิ้น


น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 2 ช้อนโต๊ะ


ผงกระเทียม 1/4 ช้อนชา


ปราปริก้า 1/4 ช้อนชา


ผงหอมใหญ่ 1/4 ช้อนชา


เกลือและพริกไทยบดหยาบเพื่อปรุงรส


วิธีทำ

1.หมักชิ้นปลากระพงฟิลเลกับน้ำมันมะกอก โรยด้วยผงกระเทียม ปราปริก้า ผงหอมใหญ่ แล้วปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยบดหยาบ

2.ตั้งกระทะย่างทาด้วยน้ำมันมะกอกให้ร้อนด้วยความร้อนปานกลาง-สูง แล้วจึงวางชิ้นปลาลงบนกระทะย่างด้านละ 2-3 นาทีหรือจนกระทั่งสุก แล้วนำมาพักไว้รอเสิร์ฟพร้อมซอสและข้าวผัดเบค่อนและถั่วแดง


White Cream Sauce

ซอสครีมขาว

สำหรับ 6 ที่

ส่วนประกอบ

เนยจืด 2 ช้อนโต๊ะ

แป้งอเนกประสงค์ 1/2 ช้อนชา

นมถั่วเหลือง 1/3 ถ้วย

วิปปิ้งครีม 1 ถ้วย

เกลือและพริกไทยป่นหยาบ เพื่่อปรุงรส

ไวน์ขาวชนิดดราย 1 ช้อนโต๊ะ


พาเมซานชีสขูด 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ

1.ละลายเนยในกระทะด้วยความร้อนปานกลาง เติมแป้งลงไปผสมจนเข้ากันดี แล้วจึงเทนมผสมลงไป หมั่นคนจนซอสเริ่มเดือดและข้น

2.ตั้งให้ให้เดือดเบาๆด้วยความร้อนต่ำประมาณ 5 นาที ผสมครีมและไวน์ขาวแล้วปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย


Bacon and Red Bean Fried Rice

ข้าวผัดเบค่อนและถั่วแดง

สำหรับ 6 ที่

ส่วนประกอบ


เบค่อนสไลซ์สับละเอียด 1 ชิ้น


กระเทียมสับ 2 กลีบ


พริกชี้ฟ้าแดงเอาเมล็ดออก 1 เม็ด


ไทม์แห้ง 1/4 ช้อนชา


ข้าวสวย 2 ถ้วย


ต้นหอมสับ 2 ต้น


ถั่วแดงต้ม 1/2 ถ้วย


เกลือบดหยาบ เพื่อปรุงรส



วิธีทำ

1.ตั้งกระทะขนาดกลาง ผัดเบค่อนด้วยความร้อนปานกลาง-ต่ำประมาณ 8 แล้วเทเอาน้ำมันเบค่อนออก เติมกระเทียม พริกชี้ฟ้าแดง ไทม์ ผัดให้เข้ากันจนหอม

2. เติมนมถั่วเหลือง และถั่วแดงต้มลงไปผัด แล้วจึงนำข้าวลงไปผัดจนเข้ากันดี แล้วจึงเติมต้มหอมสับและเกลือบดหยาบเพื่อปรุงรส เสิร์ฟพร้อมปลากะพงย่างราดซอสครีมขาว