วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2554

Jordan :: ดินแดนอาหรับที่เปล่งประกายใต้ฟ้างาม

หลายคนมีความฝันอยากไปเยือนดินแดนอาหรับเพื่อชมความงามของท้องฟ้าสีครามที่จรดกับทะเลทรายสีเหลืองอำพันสักครั้งหนึ่งในชีวิต ได้ย่ำเท้าบนทรายอ่อนนุ่ม พลางทอดสายตามองริ้วแสงสีแดงอมส้มที่ระบายบนฟ้าในยามพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ไกลออกไปยังเนินทรายที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตายนั้น คือภูเขาหินทรายน้อยใหญ่รูปทรงแปลกตาราวกับปติมากรรมชิ้นเอกที่มีใครสักคนประดับประดาไว้ ความงดงามนี้ทำให้เชื่อได้ว่า "สวรรค์บนดิน" นั้นมีอยู่จริง

จอร์แดนคือหนึ่งในประเทศที่มีทะเลทรายสวยงามเลื่องชื่ออย่าง ทะเลทรายวาดิรั่ม (Wadi rum) ซึ่งในอดีตเคยเป็นเส้นทางคาราวานจากประเทศซาอุดิอาราเบียไปยังซีเรียและปาเลสไตน์ และเป็นสถานที่ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง the Lawrence of Arabia และ ณ ทะเลทรายแห่งนี้เองเป็นที่พบรักของสมเด็จพระราชาธิบดีฮุสเซน และสมเด็จพระราชินีมูนาอัล จนเกิดตำนานรักทะเลทรายที่แสนโรแมนติคเหมือนในนวนิยายทะเลทรายชวนฝัน


นอกจากเสน่ห์ของภูมิประเทศที่มีลักษณะเป็นทะเลทราย จอร์แดนหรือราชอาณาจักรฮาซีไมต์แห่งจอร์แดนยังเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวคริสต์เชื่อว่าเป็นที่ประสูติขององค์พระเยซูคริสต์ และในขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาอิสลามเช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อเกิดสงครามทางศาสนาครั้งใหญ่ระหว่างคริสต์และอิสลาม หรือที่รู้จักในชื่อของ”สงครามครูเสด” ที่ยืดเยื้อยาวนานถึง 200 ปี


จอร์แดนจึงกลายเป็นศูนย์กลางทางการรบที่สำคัญ มีป้อมปราการมากมายเป็นหลักฐานร่องรอยแห่งสงคราม หนึ่งในป้อมปราการที่สำคัญคือ ป้อมปราการแห่งเมืองอัจลุน (Ajloun) สร้างโดยนักรบมุสลิมในปี ค.ศ. 1184 - 1185 ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนภูเขาสูง แวดล้อมไปด้วยป่าสนและต้นมะกอก เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าถึงแม้ในอดีตจอร์แดนจะเคยมีความขัดแย้งในเรื่องของศาสนาจนถึงขั้นสู้รบกัน แต่ปัจจุบันนี้แม้ประชาชนชาวจอร์แดนซึ่งนับถือศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่ถึง 96 เปอร์เซ็นต์ และมีชาวคริสต์เป็นส่วนน้อยเพียงแค่ 4 เปอร์เซ็นต์ ความแตกต่างทางศาสนาก็ไม่ใช่ปัญหาในการอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง


โบสถ์สำคัญของชาวคริสต์ ลัทธิกรีก-ออโธดอกซ์ แห่งเมืองมาดาบา (Madaba) ที่สร้างขึ้นราวค.ศ. 600 คือโบสถ์คริสต์ที่ไม่ควรพลาดในการเยี่ยมชมเพราะตกแต่งด้วยโมเสกสีต่างๆประมาณ 2.3 ล้านชิ้น แสดงถึงพื้นที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนครเยรูซาเลมไว้อย่างวิจิตร และสำหรับชาวคริสต์ เม้าท์ เนโบ (Mount Nebo) คือหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบริเวณที่เสียชีวิตและฝังศพของโมเสสที่คริสตชนปรารถนาจะได้ไปสักการะสักครั้งในชีวิต


หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจอร์แดนที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้มายลด้วยสายตาตนเอง และเป็นหนึ่งในเจ็ดของสิ่งมหัศจรรย์ในโลกคือ “ปราสาทหินสลักสีชมพูแห่งนครเพตรา (Petra)” ของชาวนาเบเทียน เบดูอินที่แสนมั่นคั่ง ไฮไลท์ของการไปเยี่ยมชมปราสาทหินสลักที่งดงามแห่งนี้คือการเดินผ่านหลืบหินผาที่มีสีสันและรูปทรงชวนอัศจรรย์คล้ายกับแคนยอนย่อมๆสลับกับสิ่งก่อสร้าง รูปปั้นแกะสลักต่างๆ ที่ทอดยาวราว 2 กิโลเมตร ถึงแม้ว่ากว่าจะเดินทางไปถึงปราสาทสีกุหลาบออกจะไกลสักนิด ขอแนะนำให้เดินชมแทนการนั่งรถม้าเพราะวิวที่สองข้างที่สวยงามนั้นทำให้ยากเกินห้ามใจที่จะหยุดถ่ายภาพไปตลอดทาง จนลืมระยะทางและความเหน็ดเหนื่อยไปได้ มารู้ตัวอีกก็จะพบปราสาทแห่งนครเพตราที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังซอกหินชวนให้อัศจรรย์ใจยิ่งนัก

หากการท่องเที่ยวในทะเลทราย และเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆยังไม่ครบอรรถรส จอร์แดนยังมีทะเลเดดซี (Dead Sea) ที่ได้ชื่อว่าเป็นทะเลที่เค็มที่สุดในโลกและเป็นทะเลที่ไม่วันจม ถึงแม้จะว่ายน้ำไม่เป็นก็สามารถนอนลอยตัวอ่านหนังสือเอนหลังบนผิวน้ำได้ นั่นเป็นเพราะว่าทะเลแห่งนี้มีแร่ธาตุมากมายหลั่งไหลมาทับถมจนพยุงให้ลอยตัวได้ ทะเลเดดซีแห่งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอาศัยอยู่ได้ ดังนั้นจึงชื่อว่า “ทะเลตาย (Dead Sea)” นั่นเอง หากได้มานอนลอยตัวที่เดดซี อย่าลืมพอกโคลนให้ทั่วตัว โคลนเดดซี เป็นนิยมใช้ในการบำรุงผิวกันมาก เพราะแร่ธาตุจากโคลนจะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มเนียนและชุ่มชื่น ผลิตภัณฑ์ความงามจากเดดซี จึงเป็นสินค้าที่ขายดีมากที่สุดอย่างหนึ่งของจอร์แดน จอร์แดนยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายที่น่าไปชม มนต์เสน่ห์แห่งนครอาหรับที่ผู้คนยังใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและงดงามตามแบบฉบับของชาวทะเลทรายทำให้เมื่อได้รู้จัก ก็ยิ่งหลงรัก และรอคอยเพื่อกลับไปเยือนดินแดนสวยงามเหมือนฝันแห่งนี้อย่างไม่รู้หน่าย ใครไม่เคยไปน่าจะลองไปสักครั้งนะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น