วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

Red Velvet Cupcake



วันเสาร์นี้แตมจะได้ไปสอน Red Velvet Cupcake ค่ะ เลยเอาสูตรมาแบ่งปันกันนะคะ ทำไม่ยาก แล้วก็อร่อยด้วยค่ะ



เรดเวลเว็ทคัพเค้ก (Red Velvet Cupcakes)





ส่วนประกอบสำหรับคัพเค้ก 10-12 ชิ้น


แป้งเค้ก 125 กรัม
เกลือ ¼ ช้อนชา
ผงโกโก้ 1 ช้อนโต๊ะ
เนยจืดอุณหภูมิห้อง 57 กรัม
น้ำตาลทรายละเอียด 150 กรัม
ไข่ 1 ฟอง
กลิ่นวนิลลา ½ ช้อนชา
บัตเตอร์มิลล์ ½ ถ้วย
สีผสมอาหารสีแดง 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชู white distilled ½ ช้อนชา
เบคกิ้งโซดา ½ ช้อนชา

วิธีทำ
1. ตั้งอุณหภูมิเตาอบไว้ที่ 180 องศาเซลเซียส ร่อนแป้ง เกลือ ผงโกโก้ เบคกิ้งโซดา เข้าด้วยกันแล้วพักไว้
2.ตีเนยกับน้ำตาลให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันและมีสีเหลืองนวล แล้วจึงตีไข่ลงไปผสมตามด้วยกลิ่นวนิลลา
3.ผสมบัตเตอร์มิลล์ น้ำส้มสายชู กับสีผสมอาหารให้เข้ากัน แล้วผสมในส่วนผสมของเนย (ในข้อ 2)สลับกับส่วนผสมของแป้ง (ในข้อ 1) ผสมจนเข้ากันได้ดี
4.ตักแบ่งส่วนผสมเท่าๆกันใส่ถ้วยคัพเค้กที่วางเรียงในพิมพ์แล้วปริมาณ 2 ใน 3 ของถ้วย นำเข้าอบประมาณ 18-20 หรือจนสุก พักทิ้งไว้ในพิมพ์ประมาณ 10 นาที แล้วจึงนำออกมาพักบนตะแกรงจนเย็นสนิทแล้วจึงบีบหน้าขนม

ครีมชีสฟรอสติ้ง (Cream Cheese Frosting)


ส่วนประกอบ

ครีมชีสทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง 225 กรัม
เนยจืดที่อุณหภูมิห้อง 4 ช้อนโต๊ะ
ไอซิ่งชูการ์ 4 ถ้วย
กลิ่นวนิลลา 1 ช้อนชา

วิธีทำ
ตีครีมชีสกับเนยผสมเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วค่อยผสมไอซิ่งชูการ์ทยอยเติมลงไปทีละนิดจนเข้ากัน แล้วจึงเติมกลิ่นวนิลลา ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกันแล้วจึงใส่ถุงบีบที่ใส่หัวบีบรูปดาว บีบวนบนคัพเค้กแต่ละชิ้น และตกแต่งด้วยน้ำตาลไอซิ่ง


วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

Baked Egg with Spinach & Ham


วันนี้แตมขอเสนอสูตรบรันช์ Baked Egg with Spinach & Ham ที่ทำง่ายๆได้ที่บ้านค่ะ หากใครที่ชอบผักโขมอบชีส ก็คงจะชอบเมนูนี้ด้วยเช่นกัน เพราะเป็นเมนูที่นำไข่มาอบกับผักโขมผัด แฮม และชีสหอมๆอย่างพาเมซานและมอสซาเรลล่าชีส ซึ่งส่วนประกอบเหล่านี้ หลายท่านที่ชอบทำอาหารน่าจะพอมีติดครัวอยู่บ้างแล้ว หากเตรียมของพร้อมแล้วก็ลุยกันเลยค่ะ

Baked Egg with Spinach & Ham




ส่วนประกอบ
ผักโขมสับใบหยาบๆ ต้มและบิดให้แห้ง 200 กรัม
หอมใหญ่ขนาดกลางสับละเอียด ¼ ถ้วย
เนยจืดสำหรับผัด
กระเทียมสับ ½ ช้อนโต๊ะ
แฮมแผ่นหั่นเป็นชิ้นเต๋า 2 แผ่น
วิปปิ้งครีม 1/3 ถ้วย
เกลือและพริกไทยดำบดหยาบเพื่อปรุงรส
ไข่ฟองใหญ่ 4 ฟอง
พาเมซานชีสขูด 1/3 ถ้วย
มอสซาเรลล่าชีสขูด ½ ถ้วย

วิธีทำ
1 ตั้งอุณหภูมิเตาอบไว้ที่ 180 องศาเซลเซียส ผัดกระเทียมและหอมใหญกับเนยในกระทะด้วยความร้อนปานกลางจนนิ่ม แล้วจึงเติมผักโขมที่ต้มแล้วบิดน้ำจนหมาดลงไปผัดเช้ากันจนน้ำที่ไหลที่ออกเหือดไปหมด ใส่แฮมลงไปผัด เติมครีม ใส่เกลือและพริกไทยเพื่อปรุงรส

2. เติมผักโขมที่ผัดแล้วแบ่งใส่ถ้วยเท่าๆกันสี่ถ้วย แหวกผักโขมแต่ถ้วยตรงกลางให้โหว่ ตอกไข่ลงไปตรงกลางอย่างละใบ โรยด้ายบนไข่ด้วยพาเมซานชีส และมอสซาเรลล่าตามลำดับ นำเข้าอบประมาณ 8-12 นาทีจนไข่ขาวอยู่ตัว

3.อาจจะเสิร์ฟพร้อมขนมปังกระเทียมเบค่อนที่ทำได้ง่ายๆด้วยการเทเนยจืดที่ผสมกับกระเทียมสับและเบค่อนที่หั่นเป็นชิ้นและนำเข้าอบจนเหลืองกรอบ เพียงเท่านี้ก็ได้ brunch ที่แสนง่ายดายแล้วค่ะ

ขอให้มีความสุขกับ sunday brunch กันนะคะ ^_^

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

My Sunday Brunch :: Cafe tartine


ตามสัญญาที่ได้บอกไว้เมื่อวานนะคะว่าจะพาทุกคนไปกิน Bruch ที่ร้าน café tartine นะคะ คนที่เป็นต้นคิดจะกิน brunch สักแห่งก็คือน้องสาวของแตมเองคะ วันนี้เราไปกันสี่สาว มีเพื่อนของติมไปด้วยอีกสองคนคือ ออม และอิ๊บ การที่ไปกิน brunch ในวันนั้นทำให้ฉันนึกถึงตอนที่เคยไปเยี่ยมน้องออมตอนที่เรียนหนังสืออยู่ที่แอลเอ ที่นั่นมีร้าน brunch อร่อยๆและบรรยากาศดีๆอยู่หลายร้าน เราตื่นกันสายๆ แล้วก็เดินทอดน่องท่ามกลางแสงแดดอุ่น สักกาแฟร้อนๆมาจิบกันก่อนก่อนที่อาหารจานโตจะถูกนำเสิร์ฟตรงหน้า เราก็นั่งสบายๆ พักดูอาหารตาที่เป็นหนุ่มแคลิฟอร์เนียหน้าตาดี ผมสีทองเป็นประกายโต๊ะข้างๆ

ร้านที่อยู่ในความทรงจำคือร้าน The urth Caffe ที่มีจุดเด่นคือ เป็นร้านกาแฟออแกนิคและเสิร์ฟชาที่เก็บด้วยมืออย่างพิถีพิถัน เป็นร้านน่ารักที่เสิร์ฟ brunch ด้วยแล้วก็มีของขายกระจุกกระจิกน่ารัก ร้านเป็นแบบ farmhouse ให้บรรยากาศแบบโฮมมี่ ส่วนอีกร้านก็คือ The Griddle ที่มีแพนเค้ก Red Velvet ชื่อดังที่ตั้งอยู่ที่ถนน sunset boulevard คราวนี้เมื่อได้มีโอกาสไปกิน brunch กับน้องออมอีกครั้ง เราจึงเลือกร้านที่นั่งสบายๆเมื่อกับที่เราเคยด้วยกันจึงลงเอยที่ร้าน café Tartine นี่เองค่ะ

ร้าน café Tartine เป็นร้านเล็กๆที่ตั้งอยู่ข้างๆร้าน Hyde and Seek อาคารเอธินีเรสซิเดนซ์ ซอยร่วมฤดี ตอนที่เราไปถึงก็ประมาณสิบเอ็ดโมงกว่าๆใกล้เที่ยงแล้วล่ะค่ะ วันนี้แดดเปรี้ยงเลยทีเดียว แต่ว่าก็มีฝรั่งออกมานั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์ตากแดดอยู่ข้างนอก แต่เราเป็นสาวกลัวแดด ไม่อยากผิวเสียเลยเลือกเข้าไปนั่งด้านใน ที่มีแต่ชาวต่างชาติกำลังนั่งรับประทานอาหาร ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆมีโต๊ะแค่ 6-7 โต๊ะเองค่ะ บรรยากาศในร้านก็สบายๆ ด้านหน้าทำเป็นบาร์มีพวกขนมปัง เครื่องดื่ม พนักงานก็ทำกันตรงนั้น ส่วนด้านหลังก็เป็นครัวเล็กๆค่ะ
เราสั่งอาหารเช้ามาแชร์กันสี่อย่างใช้เวลารอนานทีเดียว -_-“ แต่ในฐานะที่ทำร้านอาหารก็พยายามเข้าใจนะคะ ตั้งใจแล้วว่าจะมานั่งละเลียดชิลด์ๆก็ไม่ควรใจร้อน แล้วในไม่ช้าอาหารก็มาเสิร์ฟพร้อมๆกันมี Sandwich Pate cornichon หรือแซนด์วิชพาเต้กับแตงกวาดองกรอบๆ Crepe Ham, Cheese & Bechamel เครปนุ่มๆที่ไส้ข้างในเป็นแฮม ชีส และชุ่มฉ่ำด้วยซอสเบชาเมล Salad de Saumon สลัดผักรวมที่ใส่หอมแดง เคเปอร์ แล้วก็ไข่ต้ม เสิร์ฟพร้อมน้ำสลัดใสหอมแดง แล้วก็ omelette ไส้แฮม เห็ด และมะเขือเทศ เสิร์ฟพร้อมกับมันฝรั่งอบการ์แตง อาหารมาเราก็ตั้งหน้าตั้งกิน อาหารก็รสชาติกลางๆ ใช้ได้เลยค่ะ



Omelette





Sandwich Pate cornichon



Salad de Saumon


Crepe Ham,Cheese and Bechamel

ช่วงประมาณเที่ยงกว่าๆ คนก็เริ่มแน่นร้านค่ะ บังเอิญว่าโต๊ะของเรานั่งอยู่ใกล้กับครัวพอดีก็เลยเหมือนกับถูกรมควันไปด้วยในตัว ถ้าใครจะมารับประทานอาหารที่ร้านนี้ขอแนะนำว่าอย่านั่งใกล้ตรงครัวนะคะ หาที่นั่งด้านในหน่อยจะดีมากเลยค่ะ แต่โดยรวมแล้วอาหารเช้ามื้อสายมื้อนี้ก็เป็นมื้อที่ดีมื้อหนึ่งเลยทีเดียวค่ะ ไว้เดี๋ยวคราวหน้าจะลองไปหาที่อื่นๆไปลองรับประทานอีก

ครั้งต่อไปแตมจะลงสูตร brunch แสนง่ายให้ลองทำกันดูนะคะ ^_^




























วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

Time for Brunch


กระแสการรับประทานอาหารเช้ามื้อสายใกล้ๆเที่ยงหรือที่ภาษาเรียกว่า Brunch นั้นเริ่มเป็นที่นิยมกันมากขึ้น เชื่อว่าหลายคนคงอยากทราบที่มาของคำว่า Brunch ว่ามีที่มาอย่างไรใช่ไหมคะ จะ Breakfast ก็ไม่ใช่ จะ Lunch ก็ไม่เชิง อันที่จริงแล้ว Brunch (บรันช์) คือมื้ออาหารที่รวมอาหารเช้าและอาหารกลางวันเข้าไว้ด้วยกัน คำว่าบรันช์นั้น เริ่มใช้ครั้งแรกในนิตยสาร Punch และเมื่อคำนี้ถูกนำมาใช้ในหนังสือพิมพ์ Hunter’s weekly ประเทศอังกฤษราวปีค.ศ 1896 คำว่า Brunch ก็ได้กลายเป็นคำแสลงที่ใช้กันมากในอเมริกาและแคนาดาค่ะ แต่บางคนก็แย้งว่าผู้ที่คิดคำนี้ก็คือ Frank Ward O’ Malley นักข่าวประจำหนังสือพิมพ์ New York Morning Sun ผู้ที่นิยมรับประทานอาหารช่วงสายๆ


เวลาไหนคือเวลาในการรับประทาน brunch กันแน่นะ หากมื้ออาหารเริ่มต้นก่อนเวลา 10 โมงเช้า นั่นยังถือว่าเป็นเวลาของอาหารเช้าอยู่ค่ะ แต่หากเป็นช่วงเวลาระหว่าง 11 โมงเช้าถึงบ่ายโมง ซึ่งใกล้ๆและคาบเกี่ยวกับมื้อกลางวัน นั่นล่ะคือเวลาที่เราจะเรียกว่า เวลาการรับประทาน brunch อย่างแท้จริง โดยมากบรันช์มักจะนิยมรับประทานกันในอาทิตย์และวันหยุดสุดสัปดาห์ อาจจะเป็นลักษณะบุฟเฟต์ที่เราเลือกตักอาหารเอง หรือว่าจะสั่งจากเมนูก็ได้เช่นกันค่ะ

เมนูที่เรานิยมรับประทานกันนั้นก็จะมีไข่ ไส้กรอก เบค่อน แฮม ผลไม้ เพสตรี้ แพนเค้ก และเมนูอื่นๆที่นิยมรับประทานกันช่วงมื้อเช้า นอกจากนี้ก็ยังมีอาหารอื่นๆที่เรากินระหว่างวันกันด้วยนะคะ บุฟเฟต์นั้นอาจจะรวมไปถึง quiche เนื้อและไก่ย่าง อาหารทะเลแช่เย็นอย่างกุ้ง ปลารมควัน สลัด ซุป อาหารจานผัก ขนมปังชนิดต่างๆ รวมไปถึงขนมปังนานาชนิดค่t ส่วนเครื่องดื่มค็อกเทลที่นิยมกันมากก็ได้แก่ เบลลินี่ (ที่เมื่อวานได้ลงสูตรไปให้แล้วค่ะ) เช่นเดียวกับบลัดดี้ แมรี่ที่ได้รับความนิยมมากเช่นกัน อาหารตะวันออกของเราที่ถือได้ว่าเป็น brunch ก็คือ ติ่มซ่ำที่มีให้บริการในร้านอาหารจีนทั่วโลกอย่างไรละคะ ติ่มซำมักจะประกอบไปด้วยซาลาเปาไส้ต่างๆ เกี๊ยวยัดไส้ และอาหารคาวหวานทั้งแบบนึ่ง ทอด หรืออบ นั่นเอง

ที่มาอย่างสั้นๆของ Brunch ก็เป็นเช่นนี้ค่ะ เดี๋ยววันพรุ่งนี้แตมจะพาไปเที่ยวร้าน Café Tartine ที่เพิ่งไปกิน brunch มานะคะ ^_^

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

Let’s Drink Bellini



ฝนเพิ่งจะหยุดตก เริ่มรู้สึกร้อนๆหนาวอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียวค่ะ แตมก็เลยนึกถึงเครื่องดื่มค็อกเทลแก้วโปรดขึ้นมา ซึ่งมันก็คือ เบลลินี่ Bellini นี่เอง เบลินี่คือเครื่องดื่มที่มีที่มาจากเวนิส ประเทศอิตาลี ค่ะ มีส่วนผสมหลักสองอย่างคือ สปาร์กกิ้งไวน์ ซึ่งตามต้นตำรับจะใช้ Prosecco ในการทำผสมกับลูกพีชบด นิยมดื่มกันเมื่อมีการเฉลิมฉลอง เป็นเครื่องดื่มที่นิยมมากที่สุดชนิดหนึ่งของชาวอิตาเลียนเขาละค่ะ


หากอยากจะให้มีรสชาตที่เข้มข้นขึ้นมาอาจจะใช้แชมเปญของฝรั่งเศสก็ได้นะคะเพราะเข้ากันได้ดีกับรสชาติเบาของลูกพีช สำหรับคนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก็อาจจะเลือกใช้น้ำผลไม้รสซ่าแทนอย่าง sparkling cider แทนก็ได้นะคะ Bellini เป็นเครื่องดื่มที่ทำได้ง่ายๆ ที่ให้ความสดชื่นและพิเศษทุกครั้งที่ดื่ม หากไม่เชื่อคงต้องลองพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วล่ะค่ะ




Bellini Cocktail



พีชกระป๋อง 4 ชิ้น
สปาร์กกิ้งไวน์หรือแชมเปญเย็นๆ 1 ขวด

วิธีทำ
1.ปั่นลูกพีชในเครื่องบดผสมอาหารขนาดเล็กจนได้เนื้อเนียน สามารถทำได้ล่วงหน้าและเก็บไว้ในตู้เย็นนะคะ
2.ตักลูกพีชให้ได้ปริมาณ ½ ช้อนโต๊ะในแก้วแชมเปญแช่เย็นที่เตรียมไว้ แล้วค่อนรินสปาร์กกิ้งไว้ลงไป ควรที่จะมีปริมาณของพีชบดในประมาณหนึ่งในสามของปริมาณสปาร์กกิ้งไวน์นะคะ

Bellini เหมาะอย่างยิ่งที่เสิร์ฟก่อนมื้ออาหารค่ำพร้อมคาเวียร์ ซึ่งจะช่วยยืดเวลาในการจิบก่อนที่ดื่มแก้วที่สองต่อไปค่ะ 55+

Grilled Sea bass served with Bacon & Red Bean Fried Rice

วันนี้ขอเสนอสูตรอาหารที่ออกแนวสุขภาพนะคะ เพราะหลังจากวันหยุดเรากินเที่ยวกันอย่างหนักจนกระเพาะน้อยๆของเราต้องรับบทหนักมาหลายวัน ถึงเวลาที่กระเพาะของเราจะต้องได้ใช้ช่วงเวลา holiday บ้างแล้ว ดังนั้นวันนี้เรามาอาหารที่เบาๆและแคลอรี่ไม่สูงนัก แถมยังช่วยปรนเปรอร่างกายของเราด้วย มาลองดูทำกันดูนะคะ ไม่ยากเลยจริงๆ เมนูวันนี้คือ Grilled Sea bass served with Bacon & Red Bean Fried Rice ค่ะ



Grilled Sea bass served with Bacon & Red Bean Fried Rice


ปลากะพงย่างเสิร์ฟพร้อมข้าวผัดเบค่อนและถั่วแดง




Grilled Sea bass

ปลากระพงย่าง

สำหรับ 6 ที่

ส่วนประกอบ


ปลากระพงฟิลเล 6 ชิ้น


น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 2 ช้อนโต๊ะ


ผงกระเทียม 1/4 ช้อนชา


ปราปริก้า 1/4 ช้อนชา


ผงหอมใหญ่ 1/4 ช้อนชา


เกลือและพริกไทยบดหยาบเพื่อปรุงรส


วิธีทำ

1.หมักชิ้นปลากระพงฟิลเลกับน้ำมันมะกอก โรยด้วยผงกระเทียม ปราปริก้า ผงหอมใหญ่ แล้วปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยบดหยาบ

2.ตั้งกระทะย่างทาด้วยน้ำมันมะกอกให้ร้อนด้วยความร้อนปานกลาง-สูง แล้วจึงวางชิ้นปลาลงบนกระทะย่างด้านละ 2-3 นาทีหรือจนกระทั่งสุก แล้วนำมาพักไว้รอเสิร์ฟพร้อมซอสและข้าวผัดเบค่อนและถั่วแดง


White Cream Sauce

ซอสครีมขาว

สำหรับ 6 ที่

ส่วนประกอบ

เนยจืด 2 ช้อนโต๊ะ

แป้งอเนกประสงค์ 1/2 ช้อนชา

นมถั่วเหลือง 1/3 ถ้วย

วิปปิ้งครีม 1 ถ้วย

เกลือและพริกไทยป่นหยาบ เพื่่อปรุงรส

ไวน์ขาวชนิดดราย 1 ช้อนโต๊ะ


พาเมซานชีสขูด 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ

1.ละลายเนยในกระทะด้วยความร้อนปานกลาง เติมแป้งลงไปผสมจนเข้ากันดี แล้วจึงเทนมผสมลงไป หมั่นคนจนซอสเริ่มเดือดและข้น

2.ตั้งให้ให้เดือดเบาๆด้วยความร้อนต่ำประมาณ 5 นาที ผสมครีมและไวน์ขาวแล้วปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย


Bacon and Red Bean Fried Rice

ข้าวผัดเบค่อนและถั่วแดง

สำหรับ 6 ที่

ส่วนประกอบ


เบค่อนสไลซ์สับละเอียด 1 ชิ้น


กระเทียมสับ 2 กลีบ


พริกชี้ฟ้าแดงเอาเมล็ดออก 1 เม็ด


ไทม์แห้ง 1/4 ช้อนชา


ข้าวสวย 2 ถ้วย


ต้นหอมสับ 2 ต้น


ถั่วแดงต้ม 1/2 ถ้วย


เกลือบดหยาบ เพื่อปรุงรส



วิธีทำ

1.ตั้งกระทะขนาดกลาง ผัดเบค่อนด้วยความร้อนปานกลาง-ต่ำประมาณ 8 แล้วเทเอาน้ำมันเบค่อนออก เติมกระเทียม พริกชี้ฟ้าแดง ไทม์ ผัดให้เข้ากันจนหอม

2. เติมนมถั่วเหลือง และถั่วแดงต้มลงไปผัด แล้วจึงนำข้าวลงไปผัดจนเข้ากันดี แล้วจึงเติมต้มหอมสับและเกลือบดหยาบเพื่อปรุงรส เสิร์ฟพร้อมปลากะพงย่างราดซอสครีมขาว

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

Love Recipes..สูตรรักจานอร่อย



Love Recipes..สูตรรักจานอร่อย


สูตรอาหารและขนมยอดนิยมที่ทำเองได้ง่ายๆที่บ้าน


พิมพ์ครั้งที่ 1 :: มีนาคม 2554


สำนักพิมพ์ตาโต


ISBN 978-974-496-802-9 ราคา 275 บาท


เขียนโดย วิชญา บุณยเกตุ (แตม) และ ณวิภา ปฏิมาประกร (พลัม)

แตมมีหนังสือมาแนะนำคะ เป็นหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คเกี่ยวกับการทำอาหารและขนมที่แตมกับพลัมเขียนด้วยกันค่ะจุดเริ่มต้นของหนังสือเล่มนี้มาจากการที่แตมและพลัมคุยกันเล่นๆในเฟสบุ๊คว่าไหนๆเพื่อน หรือ คนรู้จักมักจะโทรมาถามสูตรและวิธีการทำอาหารจากเราบ่อยครั้ง จนเราสองคนว่าถ้าอย่างนั้นเราก็มาทำพ็อคเก็ตบุ๊คน่ารักสักเล่มด้วยกัน โดยแตมทำอาหาร และ พลัมทำขนมค่ะ

หนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คเล่มนี้เราตั้งใจว่าจะไม่ทำให้เป็นรูปแบบของตำราอาหารมากนัก แต่เป็นตำราอาหารที่อ่านสนุกและมีสูตรอาหารและขนมที่เหมาะจะนำไปทำได้จริงในสถานการณ์ต่างๆได้อย่างไม่อายใคร อย่างเช่นสูตรอาหารและขนมหวานดับร้อนเหมาะอย่างยิ่งกับช่วงเดือนเมษายนที่ร้อนอบอ้าวและทำให้เรารู้สึกไม่ค่อยเจริญอาหารนัก เมนูอย่าง ซีซาร์สลัดไก่ย่างและทาร์ตมะนาวรสเปรี้ยวคงจะช่วยดับร้อนได้อย่างดียิ่งนะคะ

แตมขอฝากหนังสืออาหารและขนมน่ารักๆเล่มนี้ไว้ในอ้อมใจของเพื่อนๆด้วยนะคะ 55+ เพราะทีมงานตั้งใจทำกันมาก แทบไม่ได้กินไม่ได้นอนเพื่อให้ได้หนังสือเล่มที่น่ารักเล่มนี้มา หากลองทำกันแล้วมีคำถามแตมและพลัมก็ยินดีให้คำแนะนำเสมอค่ะ

ขอแนะนำให้รู้จักกับเชฟขนมสาวคนเก่ง :: ณวิภา ปฏิมาประกร (พลัม)


พลัมเรียนจบปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจที่วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล แล้วก็ไปต่อปริญญาโทด้าน Information Technology ที่ University of Nottingham ซึ่งก็เป็นที่ที่พลัมกับแตมได้รู้จักกัน ซึ่งพลัมก็เริ่มทำขนมตั้งแต่สมัยเรียนที่มหิดล แล้วก็ทำมาเรื่อยๆ จนตอนที่ไปอยู่ Nottingham แตม พลัม และเพื่อนๆ มักจะรวมกลุ่มกันทำอาหาร และขนมบ่อยๆ อย่างสนุกสนาน จนเรียนจบกลับมา ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำงาน พลัมก็ไปทำงานเป็นสาวออฟฟิศอยู่พักนึงแล้วก็รู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ เลยลองไปเรียนทำขนมดูดีกว่า ก็เลยบินลัดฟ้าไปเรียนที่ Le Cordon Bleu ที่ลอนดอน จนจบ Intermediate Patisserie Certificate แล้วก็กลับมาทำงานที่โรงแรมตวันนาในครัวเบเกอรี่อยู่ประมาณ 4 ปี ระหว่างนั้นก็ไปเรียน Superior Patisserie เพิ่มเติมที่ Le Cordon Bleu Dusit Culinary School จนจบเป็น Patisserie Diploma ก่อนที่จะย้ายสายงานมาเป็น Catering Sales Executive อยู่ที่โรงแรม Siam Kempinski Bangkok พลัมเคยมีผลงานสูตรขนมมาแล้วสองเล่มคือ “ช็อคโกแลตแสนอร่อย” ที่พิมพ์มาแล้วถึงสอง และ “เมนูตู้เย็น+สามัญประจำบ้าน”

วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2554

Jordan :: ดินแดนอาหรับที่เปล่งประกายใต้ฟ้างาม

หลายคนมีความฝันอยากไปเยือนดินแดนอาหรับเพื่อชมความงามของท้องฟ้าสีครามที่จรดกับทะเลทรายสีเหลืองอำพันสักครั้งหนึ่งในชีวิต ได้ย่ำเท้าบนทรายอ่อนนุ่ม พลางทอดสายตามองริ้วแสงสีแดงอมส้มที่ระบายบนฟ้าในยามพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ไกลออกไปยังเนินทรายที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตายนั้น คือภูเขาหินทรายน้อยใหญ่รูปทรงแปลกตาราวกับปติมากรรมชิ้นเอกที่มีใครสักคนประดับประดาไว้ ความงดงามนี้ทำให้เชื่อได้ว่า "สวรรค์บนดิน" นั้นมีอยู่จริง

จอร์แดนคือหนึ่งในประเทศที่มีทะเลทรายสวยงามเลื่องชื่ออย่าง ทะเลทรายวาดิรั่ม (Wadi rum) ซึ่งในอดีตเคยเป็นเส้นทางคาราวานจากประเทศซาอุดิอาราเบียไปยังซีเรียและปาเลสไตน์ และเป็นสถานที่ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง the Lawrence of Arabia และ ณ ทะเลทรายแห่งนี้เองเป็นที่พบรักของสมเด็จพระราชาธิบดีฮุสเซน และสมเด็จพระราชินีมูนาอัล จนเกิดตำนานรักทะเลทรายที่แสนโรแมนติคเหมือนในนวนิยายทะเลทรายชวนฝัน


นอกจากเสน่ห์ของภูมิประเทศที่มีลักษณะเป็นทะเลทราย จอร์แดนหรือราชอาณาจักรฮาซีไมต์แห่งจอร์แดนยังเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวคริสต์เชื่อว่าเป็นที่ประสูติขององค์พระเยซูคริสต์ และในขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาอิสลามเช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อเกิดสงครามทางศาสนาครั้งใหญ่ระหว่างคริสต์และอิสลาม หรือที่รู้จักในชื่อของ”สงครามครูเสด” ที่ยืดเยื้อยาวนานถึง 200 ปี


จอร์แดนจึงกลายเป็นศูนย์กลางทางการรบที่สำคัญ มีป้อมปราการมากมายเป็นหลักฐานร่องรอยแห่งสงคราม หนึ่งในป้อมปราการที่สำคัญคือ ป้อมปราการแห่งเมืองอัจลุน (Ajloun) สร้างโดยนักรบมุสลิมในปี ค.ศ. 1184 - 1185 ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนภูเขาสูง แวดล้อมไปด้วยป่าสนและต้นมะกอก เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าถึงแม้ในอดีตจอร์แดนจะเคยมีความขัดแย้งในเรื่องของศาสนาจนถึงขั้นสู้รบกัน แต่ปัจจุบันนี้แม้ประชาชนชาวจอร์แดนซึ่งนับถือศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่ถึง 96 เปอร์เซ็นต์ และมีชาวคริสต์เป็นส่วนน้อยเพียงแค่ 4 เปอร์เซ็นต์ ความแตกต่างทางศาสนาก็ไม่ใช่ปัญหาในการอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง


โบสถ์สำคัญของชาวคริสต์ ลัทธิกรีก-ออโธดอกซ์ แห่งเมืองมาดาบา (Madaba) ที่สร้างขึ้นราวค.ศ. 600 คือโบสถ์คริสต์ที่ไม่ควรพลาดในการเยี่ยมชมเพราะตกแต่งด้วยโมเสกสีต่างๆประมาณ 2.3 ล้านชิ้น แสดงถึงพื้นที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนครเยรูซาเลมไว้อย่างวิจิตร และสำหรับชาวคริสต์ เม้าท์ เนโบ (Mount Nebo) คือหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบริเวณที่เสียชีวิตและฝังศพของโมเสสที่คริสตชนปรารถนาจะได้ไปสักการะสักครั้งในชีวิต


หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจอร์แดนที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้มายลด้วยสายตาตนเอง และเป็นหนึ่งในเจ็ดของสิ่งมหัศจรรย์ในโลกคือ “ปราสาทหินสลักสีชมพูแห่งนครเพตรา (Petra)” ของชาวนาเบเทียน เบดูอินที่แสนมั่นคั่ง ไฮไลท์ของการไปเยี่ยมชมปราสาทหินสลักที่งดงามแห่งนี้คือการเดินผ่านหลืบหินผาที่มีสีสันและรูปทรงชวนอัศจรรย์คล้ายกับแคนยอนย่อมๆสลับกับสิ่งก่อสร้าง รูปปั้นแกะสลักต่างๆ ที่ทอดยาวราว 2 กิโลเมตร ถึงแม้ว่ากว่าจะเดินทางไปถึงปราสาทสีกุหลาบออกจะไกลสักนิด ขอแนะนำให้เดินชมแทนการนั่งรถม้าเพราะวิวที่สองข้างที่สวยงามนั้นทำให้ยากเกินห้ามใจที่จะหยุดถ่ายภาพไปตลอดทาง จนลืมระยะทางและความเหน็ดเหนื่อยไปได้ มารู้ตัวอีกก็จะพบปราสาทแห่งนครเพตราที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังซอกหินชวนให้อัศจรรย์ใจยิ่งนัก

หากการท่องเที่ยวในทะเลทราย และเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆยังไม่ครบอรรถรส จอร์แดนยังมีทะเลเดดซี (Dead Sea) ที่ได้ชื่อว่าเป็นทะเลที่เค็มที่สุดในโลกและเป็นทะเลที่ไม่วันจม ถึงแม้จะว่ายน้ำไม่เป็นก็สามารถนอนลอยตัวอ่านหนังสือเอนหลังบนผิวน้ำได้ นั่นเป็นเพราะว่าทะเลแห่งนี้มีแร่ธาตุมากมายหลั่งไหลมาทับถมจนพยุงให้ลอยตัวได้ ทะเลเดดซีแห่งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอาศัยอยู่ได้ ดังนั้นจึงชื่อว่า “ทะเลตาย (Dead Sea)” นั่นเอง หากได้มานอนลอยตัวที่เดดซี อย่าลืมพอกโคลนให้ทั่วตัว โคลนเดดซี เป็นนิยมใช้ในการบำรุงผิวกันมาก เพราะแร่ธาตุจากโคลนจะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มเนียนและชุ่มชื่น ผลิตภัณฑ์ความงามจากเดดซี จึงเป็นสินค้าที่ขายดีมากที่สุดอย่างหนึ่งของจอร์แดน จอร์แดนยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายที่น่าไปชม มนต์เสน่ห์แห่งนครอาหรับที่ผู้คนยังใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและงดงามตามแบบฉบับของชาวทะเลทรายทำให้เมื่อได้รู้จัก ก็ยิ่งหลงรัก และรอคอยเพื่อกลับไปเยือนดินแดนสวยงามเหมือนฝันแห่งนี้อย่างไม่รู้หน่าย ใครไม่เคยไปน่าจะลองไปสักครั้งนะคะ

Tomato Soup




ประมาณกลางเดือนหน้าแตมจะมีโอกาสได้ไปทำ workshop สอนทำ Tomato Soup ให้กับนมถั่วเหลืองยี่ห้อหนึ่งค่ะ การบ้านของแตมก็คือให้คิดสูตรซุปมะเขือที่ทำง่าย อร่อย ใช้เวลาทำไม่นาน และแน่นอนว่าต้องใช้ผลิตภัณฑ์จากนมถั่วเหลืองด้วย เมื่อได้ลองทำดูก็พบสูตรที่แสนง่ายที่ทุกคนทำเองได้อย่างแน่นอนค่ะ ลองดูทำกันเลยดีไหมคะ




Tomato Soup


ส่วนประกอบสำหรับ 6 ที่


มะเขือเทศกระป๋อง 2 กระป๋อง (แยกเนื้อกับน้ำและเก็บน้ำไว้ด้วย)


น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ


กระเทียมสับ 3 กลีบ


นมถั่วเหลือง (หรือจะใช้นมสดธรรมดาก็ได้ค่ะ) 1/2 ถ้วย


วิปปิ้งครีม 1/2 ถ้วย


น้ำมะนาวเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ


Tomato Sauce สำหรับทำพาสต้าสำเร็จรูป 1 กระป๋อง


ใบเบซิลสด 3 ใบสับหยาบๆ


ใบกระวาน 1 ใบ


เกลือและพริกไทยบดหยาบสำหรับปรุงรส


ซาวน์ครีมสำหรับหยอดแต่งหน้าซุป


ขนมปังกรอบกรูตองสำหรับเป็นเครื่องเคียง



วิธีทำ


1.สับมะเขือเทศกระป๋อง แล้วกรองน้ำมะเขือเทศแยกไว้ใส่ในชาม


2.ตั้งกระทะกับน้ำมันมะกอกด้วยความร้อนปานกลาง ผัดกระเทียมสับจนหอมแล้วจึงนำเนื้อมะเขือเทศในข้อที่ 1 ลงไปผัดผสม


3.ต้มน้ำมะเขือเทศในหม้อขนาดกลางด้วยความร้อนปานกลาง แล้วเติมเนื้อมะเขือเทศลงไป ตามด้วยนม และ น้ำมะนาว และ tomato sauce ลงไปผสม แล้วตั้งให้เดือดเบาๆ แล้วจึงเติมใบเบซิลลงไปผสม


4.ใช้เครื่องปั่นผสมอาหารมือ (Hand-held blender) ปั่นเนื้อซุปให้เนียนแล้วจึงเติมวิปปิ้งครีมลงไปผสมในขั้นตอนสุดท้าย


5.ตักซุปใส่ถ้วย อาจแต่งหน้าด้วย sour cream และเสิร์ฟพร้อมขนมปังกรอบกรูตอง (ถ้ามี)


++ ขอให้สนุกและอร่อยกับซุปที่แสนอร่อยและทำงานนี้นะคะ ++



















วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554


เรื่องเล่าร้านหนังสือ

แต่งโดย สุพัตรา


ตอนที่่ฉันเขียนบอกพี่ปู ใน facebook ว่า "แล้วหนูจะเขียน review หนังสือ "เรื่องเล่าร้านหนังสือ" ของพี่ปูให้นะคะ ความจริงแล้วอย่าเรียกว่ารีวิวดีกว่าค่ะ เพราะด้วยประสบการณ์อันน้อยนิดของฉันคงจะทำได้เพียงแค่แบ่งปันความน่าอ่านและสิ่งที่ฉันได้ค้นพบจากหนังสือเล่มนี้ในช่วงเวลาสองคืนก่อนนอนที่ฉันและหนังสือเล่มนี้นั่งสนทนากันตามลำพัง ^_^

หากใครที่เป็นหายใจเข้าออกเป็น "หนังสือและตัวอักษร" หรือบางทีอาจจะมีร้านหนังสือเป็นเสมือนบ้านหลังที่สาม คำโปรยหน้าปกที่ว่า "ไม่มีชั่วขณะใดวิเศษไปกว่าการเดินอยู่ท่ามกลางหนังสือในร้านหนังสือแห่งนั้นแล้ว" คงจะทำให้อยากเปิดหนังสือเล่มนี้อ่านทันที ประโยคนี้ทำให้ฉันนึกถึงประโยคสวยๆในนวนิยายรักแสนหวาน ที่นางเอกอาจจะเอ่ยถึงความทรงจำแห่งรัก ใกล้เคียงกันแต่ต่างกันที่ พระเอกที่เป็นความทรงจำแห่งรักของผู้เขียนคือ "ร้านหนังสือ"

อะไรกันเล่าคือสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงตัวเล็กๆเพียงคนหนึ่งมีความฝันในการทำงานในร้านหนังสือได้ขนาดนี้ ฉันเห็นภาพเด็กหญิงปูตัวเล็กๆที่ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับแผงหนังสือของพ่อ และแอบสร้างโลกเล็กๆแห่งจินตนาการที่ชั้นหนังสือข้างเตียง เธอได้เติบโตมากับหนังสือดีๆ หนังสือที่บอกเล่าและดึงตัวเธอให้ร่วมเข้าสู่วิถีทางของมันโดยไม่รู้ตัว หนังสือเรื่อง "ร้านหนังสือที่รัก" คือตัวการใหญ่ที่คอยกระซิบพาเธอชมร้านหนังสือที่แสนจะมีเสน่ห์ และเรื่องราวแห่งมิตรภาพที่ก่อตัวขึ้นท่ามกลางร้านหนังสือก็สร้างความตรึงใจให้กับเด็กหญิงที่เติบโตเป็นหญิงสาวที่อยากจะได้สัมผัสและมีประสบการณ์กับ "ร้านหนังสือ"จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ภาพฝันในจินตนาการ

ท่ามกลางเสียงคัดค้านว่า การเป็นผู้จัดการร้านหนังสือสำหรับตัวเธอนั้นช่างไม่สมกับความรู้ความสามารถ เธอเหมาะจะเป็นบรรณาธิการนิตยสารเสียมากกว่า เงินเดือนของผู้จัดการร้านหนังสือนั้นเล่าก็ช่างน้อยนิดเมื่อเทียบความเหนื่อยและความครียดกับความรับผิดชอบสูง ไหนจะทั้งหนังสือและพนักงาน แต่พี่สาวคนนี้เธอเลือก งานที่สร้างความสุข มากกว่าที่จะคิดในเรื่องของค่าตอบแทน ลองคนเราได้รักในสิ่งใดแล้ว เราก็ไม่คิดเรื่องกำไรขาดทุนหรอกค่ะ จริงไหม ในเมื่อประสบการณ์ไม่มีโรงเรียนไหนสอนและที่สำคัญเงินก็ซื้อไม่ได้ด้วยซิ มีเพียงแค่แรงใจกับแรงกายเท่านั้นที่จะทำให้เราได้มันมาครอบครอง

เมื่อโอกาสแห่งการได้เป็นผู้จัดการร้านหนังสือมาถึง แน่นอนว่าพี่สาวคนเก่งของฉันย่อมไม่พลาดโอกาสนี้แน่นอน เพราะเราไม่อาจทราบได้ว่าโอกาสนั้นจะมาเคาะประตูที่หน้าบ้านเราอีกเมื่อไหร่

ตอนที่อ่านหนังสือเล่มนี้ในช่วงแรกๆฉันก็ไม่คิดหรอกนะคะว่า ฉันจะกระโดดเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นปูน้อยตัวจิ๋วที่แอบเดินตามพี่ปูไปตามบทต่างๆในหนังสือ เพราะถึงแม้ฉันจะทำงานในแวดวงการขีดๆเขียนๆ ฉันก็เป็นแค่นักเขียนตัวเล็กๆ และก็ยังไม่เคยได้มีโอกาสไปนั่งเสวนาหนังสือและจิบกาแฟในร้านกาแฟกับนักเขียนอาวุโสที่มีความคิดแหลมคมอย่างที่พี่ปูเล่า ฉันยังเป็นเพียงแค่คนที่เดินเข้ามาในร้านหนังสือ กวาดตามองหาหนังสือที่ต้องใจ นานๆครั้งก็แอบอยู่ในมุมเพื่อเป็นนักสืบคอยสังเกตการณ์ว่าจะมีใครบ้างไหมนะที่จะเลือกซื้อหนังสือของฉัน 55

บางครั้งก็เกิดอาการน้อยอกน้อยใจร้านหนังสือที่ไม่ช่วยเอาหนังสือของฉันตั้งขายในตำแหน่งที่คนซื้อสังเกตเห็นได้ง่ายๆ และความน้อยใจและกังวลใจเรื่องยอดขายหนังสือก็ทวีมากขึ้น เมื่อฉันเกิดอุตริคิดจะพิมพ์หนังสือขายเอง ท่ามกลางเสียงคัดค้านของพี่ๆที่รักทุกคนที่กล่าวตักเตือนด้วยความหวังดี ว่าหนังสือกล้อง Toy Camera ของฉันคงจะไม่วายเป็นดังปลาตัวเล็กๆที่ว่ายทวนกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากแข่งกับหนังสือในกระแสที่มีเงินทุนหนาๆที่เหมือนกับเรือดำน้ำติดเทอร์โบ Y_Y ฉันช่างกล้าที่จะเจ็บตัวยิ่งนัก 55

ตอนที่ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ ฉันเห็นเงาของตัวเองที่ทับซ้อนกับพี่ปูอยู่ เหตุผลที่ทำไม่ได้มีอะไรนอกจากมาใจล้วนๆ ใจรักของคนที่จะทำหนังสือดีๆสักเล่มที่แม้จะไม่เห็นของเค้ากำไรงามที่ผลิดอกออกผลให้ชื่นใจรออยู่เบื้องหน้า แน่นอนว่าฉันไม่ต่างอะไรกับพี่ปูที่เดินไปติดกับกักดักความฝันอันงดงามนั้นอย่างเต็มใจ

"ความฝันอันงดงามมักหลอกล่อให้เราติดกับ แต่ความจริงต่างหากที่จะสอนให้เรารู้และเข้าใจ" วันนี้ฉันเข้าใจประโยคนี้โดยท่องแท้ และไม่เคยนึกเสียใจที่จ่ายค่าประสบการณ์ด้วยเงินลงทุนที่แสนแพง เช่นเดียวกับที่พี่ปูได้มอบวิญญานให้กับร้านหนังสือในช่วงเวลาหนึ่ง

ตอนที่เราเดินก้าวไปที่ร้านหนังสือด้วยความตื่นใจ ที่เห็นหนังสือน่าอ่านมากมายเรียงรายเชื้อเชิญให้เราหยิบอ่าน ความสุขในการเลือกซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือเองต่างจากการซื้อออนไลน์คือการที่นิ้วมือของเราได้สัมผัสกับหนังสือที่จะเพื่อนคนใหม่ซึ่งหากได้ทักทายกันเป็นที่ถูกใจ เราก็อาจได้พาเพื่อนใหม่เหล่านั้นกลับบ้าน
เราไม่ได้สนใจหรอกว่าก่อนที่ร้านเปิด หรือ หลังร้านปิด มดงานในร้านหนังสือจะยุ่งขิงขนาดไหน เราจะเรียกหาเขาก็ต่อเมื่อเราหาหนังสือเล่มที่เราต้องการไม่เจอ หรือ หนังสือของเราที่เขียนหรือลงทุนพิมพ์ถูกจัดวางในตำแหน่งที่ผู้ซื้อมองให้เห็นอย่างที่กล่าวมา และอดจะกล่าวหาร้านหนังสือไม่ได้ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้หนังสือของเราขายไม่ดี

หากฉันไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ฉันก็คงไม่รู้หรอกนะว่า คนที่ทำงานในร้านหนังสือต้องทำงานหนักเพียงใด ต้องจัดการกับหนังสือปกใหม่ที่ถูกส่งมาวางที่หน้าร้านไม่ต่ำกว่าวันละ 40 เล่ม พระเจ้าช่วย! หนังสือเก่าตั้งมากมาย หนังสือใหม่ก็เข้ามาทุกวัน จะทำยังไงให้เจ้าของหนังสือทุกเล่มในร้านฯได้รับการจัดวางให้เป็นที่พอใจอย่างยุติธรรมเท่าเทียมกัน ฉันอยากจะเดินเข้าไปหนังสือเล่มนี้และถามพี่ปูในช่วงเวลาที่เป็นผู้จัดการร้านหนังสือจังเลยว่า "พี่จัดการกับกองทัพหนังสือเหล่านี้ได้อย่างไรกันเนี่ยะ!"

นี่คือส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ที่ฉันก้าวเข้าไปมีส่วนร่วมโดยไม่รู้ตัว นอกเหนือจากนั้นก็คือประสบการณ์บางส่วนจากร้านหนังสือที่พี่ปูถ่ายทอด เช่นเรื่อง มิตรภาพที่งอกเงยระหว่างการทำร้านหนังสือ ความเห็นอกเห็นใจ ที่สร้างโอกาสให้คนตัวเล็กได้มีอาชีพเป็นนักเขียนชื่อดัง เป็นเจ้าสำนักพิมพ์ที่มีชื่อในเวลาต่อมา การเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับทำหนังสือ ได้สร้างเพื่อนใหม่ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในเวลาต่อมา

ฉันได้รู้จักกับพี่ปูและมีโอกาสได้ปรึกษาพี่ปูเรื่องการทำหนังสือก็เมื่อไม่นานมานี้นี่เอง แต่ฉันก็ยังประกายเห็นความสุขในแววตาของพี่ปูยามที่ได้คำแนะนำที่ดีๆกับฉันหลายอย่าง แม้แต่คำตบท้ายที่บอกกับฉันว่า "นี่เพราะรักกันจริงๆหรอกนะ ถึงได้เตือนว่าอย่าได้ริอ่านทำหนังสือ" ^_^ ฉันรู้ว่าพี่ปูพูดไปยังงั้นเองแหละ คนรักการทำหนังสือเหมือนกันแค่มองตาก็เข้าใจ

หนังสือเล่มนี้นอกจากจะให้เกร็ดความรู้เกี่ยวกับร้านหนังสือแล้ว คนที่ไม่ได้อินกับร้านหนังสือเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็คงจะเกิดแรงฮึดที่จะทำสิ่งที่ฝันให้เป็นจริงอย่างแน่นอน และคงจะเริ่มเดินเข้าร้านหนังสือด้วยมุมมองใหม่และความเข้าใจที่มีต่อร้านหนังสือมากขึ้น ฉันขอเป็นตัวแทนของคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้ และกำลังจะซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านขอบคุณพี่ปูที่เขียนถ่ายทอดเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นในร้านหนังสือในเราฟัง และขอบคุณที่พี่สาวคนนี้ที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงอึดที่ไล่ตามความฝันให้เราไม่ย่อท้อที่จะทำให้ "ครั้งหนึ่งในชีวิตของเรามีความทรงจำดีๆที่ได้พยายามทำตามความฝันนะคะ"


วิชญา บุณยเกตุ (แตม)

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554





สวัสดีค่ะทุกคน แตมหายไปนานทีเดียวกับการ update เรื่องการทำอาหาร เพราะวุ่นวายกับสารพัดงานร้อยล้านอย่างที่เพื่อนๆที่รักคงทราบกันดี ^_^ ช่วงนี้แตมมีโอกาสได้เข้าครัวบ่อยๆ เพราะว่าแตมกำลังปรับเมนูอาหารที่ร้านค่ะ เพิ่งจะทำเมนูใหม่เสร็จสดๆร้อนๆ และช่วงนี้ก็มีโอกาสได้ทำ workshop สอนทำอาหารอยู่บ่อยครั้งจึงอยากจะแชร์สูตรอาหารที่ทำรับประทานได้ง่ายๆ ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาทีมาให้เพื่อนๆได้ลองทำกัน










สูตรที่ว่านี้คือ Ham and Cheese Roll up served with Couscous and Pea ค่ะ เป็นสูตรของคุณ Martha Stewart จึงรับประกันความอร่อยและทำได้ง่ายอย่างแน่นอน



Chicken, Ham and Cheese Roll up served with Couscous and Pea


(สำหรับ 4 ที่)



เวลาในการเตรียม 15 นาที เวลาในการทำทั้งหมด 30 นาที


อกไก่ชิ้นบาง 8 ชิ้น

เกลือและพริกไทยบดหยาบ

ฮันนี่มัสตาร์ด 2 ช้อนโต๊ะ

เดลิแฮม สไลด์ตามแนวยาว 4 ชิ้น

สวิสชีส emmental cheese 24 เส้น

ถั่วลันเตาแช่แข็ง (frozen ให้น้ำแข็งละลาย) 2 ถ้วย

เนยจืด 1 ช้อนโต๊ะ

Couscous 3/4 ถ้วย


วิธีทำ

1.ตั้งอุณหภูมิเตาอบไว้ที่ 180 องศาเซลเซียส รองถาดอบด้วยอลูมินั่มฟอยล์ วางอกไก่ลงบนเขียงปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย

2.ทาอกไก่ด้วยฮันนี่มัสตาร์ด วางแฮมสไลด์ 1 แผ่น และชีสสองแผ่น ลงบนอกไก่แต่ละชิ้น ม้วนอกไก่ด้านที่ปลายแคบให้เป็นวง แล้วงางด้านที่ม้วนลงบนถาดอบ วางชีสสองชิ้นลงบนชิ้นไก่อย่างละ 2 ชิ้น เข้าอบจนสุกประมาณ 6-10 นาที

3. ในขณะเดียวให้ผัดถั่วลันเตากับเนย และเติมน้ำลงไป 1 ถ้วยจนเดือด แล้วนำผสมกับคูสคูสในอ่างผสม ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ใช้ส้อมยีให้เข้า ปรุงรสด้วยเกลือพริกไทย และเสิร์ฟพร้อมอกไก่ค่ะ


แค่นี้ก็ได้มื้ออาหารง่ายๆที่อุดมด้วยประโยชน์แล้วล่ะค่ะ นอกจากอาหารจานนี้ที่ทำได้ง่ายแล้ว ยังมีสูตรคุ้กกี้แสนอร่อยอีกหนึ่งสูตรให้ได้ลองทำกันเล่นๆอีกด้วยนะคะ ใครชอบคุ้กกี้ช็อคโกแลตเนื้อนุ่มฉ่ำๆ สูตรนี้ทำแล้วไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนค่ะ เป็นสูตรที่แตมปรับมาจากสูตรคุ้กกี้ของคุณ Martha Stewart เช่นเดียวกันค่ะ รอช้าอยู่ใยไปอุ่นเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียสรอไว้เลยนะคะ






Double Chocolate Cookie

ดับเบิ้ลช็อคโกแลตคุ้กกี้ (ได้ประมาณ 24 ชิ้น)

ส่วนผสม

ช็อคโกแลตชนิดหวานน้อยสับหยาบ (unsweetened Chocolate) 115 กรัม

แป้งอเนกประสงค์ตวงอัดแน่น 1 ถ้วย

ผงโกโก้ชนิดไม่หวาน 3 ช้อนโต๊ะ

ผงฟู 1 ช้อนชา

เกลือบดหยาบ 1/2 ช้อนชา

เนยจืด (ทิ้งไว้ให้นิ่ม) 115 กรัม หรือ 1/2 ถ้วย

น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย

น้ำตาลทรายแงดชนิดสีอ่อน 1/2 ถ้วย

ไข่ขนาดใหญ่ 2 ฟอง

กลิ่นวนิลลา 1 ช้อนชา

แครนเบอร์รี่แห้ง 1/2 ถ้วย

ช็อคโกแลตชิปหวานน้อย 1/2 ถ้วย

วิธีทำ

1.ตั้งเตาอบไว้ที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ละลายช็อคโกแลตในชามทนความร้อนที่มีน้ำเดือดเบาๆจนละลายดี พักไว้ แล้วร่อนแป้ง ผงฟู และเกลือเข้าไว้ด้วยกัน

2.ตีเนยและน้ำตาลในอ่างจนขึ้นฟู เติมไข่ วนิลลาและช็อคโกแลตเข้าด้วยกัน แล้วจึงเติมช็อคโกแลตชิปและแครนเบอร์รี่ครึ่งสูครลงไปคนผสม

3.ตักส่วนผสมของคุ้กกี้ด้วยที่ตักไอศกรีมไซส์เล็กลงบนแผ่นรองอบให้ห่างกันชิ้นละ 3 นิ้ว โรยด้านบนชิ้นด้วยช็อคโกแลตชิปและแครนเบอร์รี่ที่เหลือ อบนานประมาณ 15-17 นาทีจนผิวหน้ากรอบและแตก กลับด้านถาดอบเมื่อครบเวลาหนึ่งนึงในการอบ พักคุ้กกี้ไว้ 3 นาทีบนถาดอบให้เย็นสักนิดก่อนที่ย้ายมาวางพักไว้บนตะแกรงจนเย็นสนิทก็เป็นอันเรียบร้อย

ลองไปทำดูกันนะคะ ง่าย อร่อย และ สนุกดีค่ะ ^_^